ความโดยประธานธนาคารโลกเรื่องวิกฤติเศรษฐกิจโลก
ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมานั้น วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งในตลาดเงิน ในระบบสินเชื่อ และในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐอเมริกาก็ได้ส่งผลให้ความกังวลที่มีอยู่เดิมต่อสภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์ด้านการลดความยากจนของโลกในปัจจุบัน อันสืบเนื่องมาจากปัญหาราคาอาหารและน้ำมันที่ถีบตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ นั้น ขยายวงกว้างขึ้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเดือนกันยายนและตุลาคมนั้น อาจผลักดันให้สถานการณ์ในประเทศกำลังพัฒนาหลายต่อหลายประเทศ ซึ่งแต่เดิมก็ค่อนข้างล่อแหลมหรือเปราะบางอยู่แล้ว ทวีความรุนแรงขึ้นจนถึงขั้นวิกฤติได้ และหากเป็นเช่นนั้น คนที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือคนยากจน ซึ่งโดยมากแล้วจะปราศจากเกราะกำบังใดใดนั่นเอง
เราได้ยินคำตำหนิติเตียนมากมายว่าต้นเหตุของปัญหานี้อยู่ที่การเปิดตลาดเสรี อยู่ที่ความล้มเหลวของสถาบันกำกับดูแลในภาครัฐ ทว่า ความจริงที่เราต้องเผชิญและยอมรับก็คือ ทุกวันนี้ โลกมาไกลเกินกว่าที่จะหันหลังให้แก่โลกาภิวัตน์ได้แล้ว สิ่งที่เราจะทำได้ก็คือการเรียนรู้จากประสบการณ์และความผิดพลาดในอดีตในขณะที่เราก้าวย่างต่อไปเพื่อวางรากฐานให้แก่อนาคต ทั้งนี้ เราจำเป็นที่จะต้องปฏิวัติโครงสร้างของตลาดเงินตลาดทุน รวมทั้งระบบพหุพาคีเพื่อแก้ไขปัญหาระดับโลกให้สอดคล้องต่อสภาวะเศรษฐกิจของโลกในปัจจุบันยิ่งขึ้น
ความเป็นไปของตลาดเงินตลาดทุนในวันนี้ รวมทั้งการที่แต่ละประเทศในโลกถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันภายใต้เครือข่ายเดียวนั้น สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของการติดต่อสื่อสาร การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร พัฒนาการของเทคโนโลยี การไหลเวียนของเงินทุนและการค้า การเคลื่อนย้ายของแรงงาน และแรงผลักดันใหม่ ๆ ที่มีอิทธิพลต่อความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของโลก ทุกวันนี้ ประเทศที่เราเรียกว่า “มหาอำนาจทางเศรษฐกิจ” นั้น ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในยุโรปและอเมริกาอีกต่อไปแล้ว ตรงกันข้าม มีประเทศกำลังพัฒนามากมายที่กำลังก้าวขึ้นสู่การเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และกำลังเป็น “ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” ของความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ในโลกที่อาจส่งผลกระทบต่อประเทศของพวกเขาเอง ที่สำคัญ มหาอำนาจทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ เหล่านี้ ก็ยังต้องการที่จะให้ประเทศอื่น ๆ ในโลกหันมาฟังเสียงของพวกเขาให้มากขึ้นด้วย
ในขณะที่ตลาดเงินตลาดทุนและธุรกิจต่าง ๆ จะยังคงเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันให้โลกมีการเจริญเติบโตและมีพัฒนาการต่อไป ระบบการเงินของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ก็กลับดูเหมือนว่ากำลังอ่อนแอลงเรื่อย ๆ หลังจากที่ต้องเผชิญกับความสูญเสียอันยิ่งใหญ่มหาศาลจากวิกฤตการณ์ทางการเงินที่ได้เกิดขึ้นใน 2-3 ปีที่ผ่านมานี้
เมื่อระบบที่ได้ถูกสร้างไว้ให้เป็นกลไกในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและการเงินของโลกกำลังส่อให้เห็นว่ามีรอยร้าว เราก็จำเป็นที่จะต้องค้นหากลไกใหม่ ๆ เข้ามาช่วย ประเด็นสำคัญที่เราต้องคำนึงถึงก็คือ ระบบพหุภาคีที่จะสอดคล้องกับความเป็นไปของโลกในปัจจุบันมากที่สุดนั้น น่าจะเป็นระบบพหุภาคีที่มีความยืดหยุ่นมากกว่าในปัจจุบัน รวมทั้งเป็นระบบที่นำความแข็งแกร่งของเครือข่าย และของสถาบันทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และควรจะเป็นระบบแก้ไขปัญหาแบบยึดผลลัพธ์ในการปฏิบัติ รวมทั้งส่งเสริมวิถีทางแห่งความร่วมมือเป็นสำคัญ
ระบบพหุภาคีที่เราควรจะริเริ่มขึ้นใหม่นี้ จักต้องมีการแบ่งปันความรับผิดชอบในการดูแลความแข็งแกร่งของระบบเศรษฐกิจการเมืองโลกให้ทั่วถึงมากขึ้น และประกอบไปด้วยสมาชิกซึ่งจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสำคัญ ๆ ของภาวะเศรษฐกิจโลกมากกว่าคนอื่นด้วย เช่นนี้แล้ว เราจึงจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนคำบัญญัติความของระบบพหุภาคีทางเศรษฐกิจของโลกเสียใหม่ เพื่อให้ความสำคัญต่อปัจจัยอื่น ๆ ที่กำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงให้แก่โลก มิใช่เฉพาะการเงินและการค้าดังที่เป็นมาในอดีต ทุกวันนี้ ประเด็นที่เกี่ยวกับพลังงาน การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และการสร้างความมั่นคงให้แก่ประเ ทศที่เปราะบาง หรือประเทศที่เพิ่งผ่านภาวะสงครามมาใหม่ ๆ นั้นก็นับว่าเป็นประเด็นทางเศรษฐกิจเช่นกัน ประเด็น เหล่านี้ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาระดับโลกว่าด้วยปัญหาความมั่นคงและปัญหาสิ่งแวดล้อมแล้ว จึงนับว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องนำประเด็นเหล่านี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาระดับโลกว่าด้วยปัญหาเศรษฐกิจด้วย
ระบบพหุภาคีที่โลกต้องการนี้ จะดำเนินไปได้อย่างราบรื่นก็ต่อเมื่อมีความร่วมมือและมีแรงผลักดันจากสมาชิกแต่ละประเทศ ระบบที่มีอยู่แล้วในปัจจุบันคือระบบ G-7 นั้นยังถือว่ามีข้อบกพร่องอยู่มาก เราจำเป็นที่จะต้องสรรค์สร้างระบบใหม่ขึ้นมาเพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะของโลกในปัจจุบันมากขึ้น ระบบใหม่ที่เราจำเป็นจะต้องมีนี้ ควรอยู่ภายใต้การดูแลของ “คณะทำงานหลัก” ซึ่งจะประกอบไปด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวง การคลังของประเทศที่มีส่วนได้ส่วนเสียในระบบเศรษฐกิจโลกต่าง ๆ ที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและความรู้กันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แต่ละฝ่ายสามารถคาดคะเนเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างมีรวดเร็วขึ้น สามารถรวบรวมประเทศสมาชิกอื่น ๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที และทำหน้าที่ “บริหาร” ความแตกต่างของแต่ละประเทศไม่ให้เป็นอุปสรรคขัดขวางการประสานประโยชน์ของโลกโดยรวม
คณะทำงานหลักที่จะทำหน้าที่ดูแลระบบพหุภาคีใหม่นี้ ควรที่จะมีบราซิล จีน อินเดีย เม็กซิโก รัสเซีย ซาอุดิอาระเบีย แอฟริกาใต้ และกลุ่มประเทศ G-7 ในปัจจุบันเป็นสมาชิก คณะทำงานนี้จำเป็นที่จะต้องมีการพบปะกันอย่างสม่ำเสมอ และมีการสนทนาแลกเปลี่ยนข่าวสารซึ่งกันและกันผ่านทั้งช่องทางที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ที่สำคัญ คณะทำงานนี้จำเป็นที่จะต้องเป็นมากกว่าแค่ “กลุ่มประเทศ G-14” เพราะมันจะไม่มีประโยชน์แต่อย่างใดเลยหากเราแค่เปลี่ยนชื่อ จาก G-7 เป็น G-14 โดยที่ไม่เปลี่ยนวิถีการทำงานด้วย เราต้องการเครือข่ายใหม่ที่จะสามารถคาดคะเนล่วงหน้าได้ว่าจะมีความเสียหายเกิดขึ้น ที่จะยังประสานงานอย่างใกล้ชิดกับสถาบันการเงินระหว่างประเทศที่มีอยู่ โครงสร้างและบทบาทหน้าที่ของคณะทำงานภายใต้ระบบพหุภาคีใหม่นี้ จะช่วยให้แต่ละประเทศหันมาใช้สมาชิกอื่น ๆ ให้เป็นประโยชน์มากขึ้น ในการแก้ไขปัญหาซึ่งใหญ่หลวงเกินกว่าประเทศใดประเทศหนึ่งจะสามารถแก้ไขได้โดยลำพัง และจะช่วยผลักดันให้การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและการเงินที่ส่งผลกระทบต่อคนทั้งโลกนั้น ผ่านกระบวนการที่เป็นพหุภาคีนิยมมากขึ้น
ระบบพหุภาคีใหม่ที่ว่านี้ จำเป็นที่จะต้องนำปฏิสัมพัทธ์และความเชื่อมโยงระหว่างพลังงานกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเข้ามาประกอบการพิจารณาด้วย ตลาดพลังงานโลกในปัจจุบันนี้กำลังอยู่ในภาวะที่ยุ่งเหยิงมาก เพื่อให้การแก้ไขปํญหาด้านพลังงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เราจำเป็นที่จะต้องจัดให้มีการเจรจาระดับโลกระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภคพลังงาน โดยทั้งสองฝ่ายจำเป็นที่จะต้องนำแผนงานในการขยายอุปทาน การเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานอย่างประหยัดเพื่อลดอุปสงค์ การผลิตพลังงานเพื่อคนยากไร้ และการวางแผนพัฒนาพลังงานโดยคำนึงถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เข้ามาพิจารณาร่วมกันด้วย ผมเชื่อว่าทั้งฝ่ายผู้ผลิตและผู้บริโภคนี้น่าจะหาวิธีที่ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์มาใช้บริหารจัดการราคาของพลังงานให้อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม และผสมผสานกับการปรับปรุงเทคโนโลยีในการผลิตให้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลงได้
เพื่อให้สิ่งที่กล่าวไปแล้วข้างต้นเป็นไปอย่างราบรื่น โลกก็จำเป็นที่จะต้องมีปัจจัยใหม่ ๆ มาสนับสนุนข้อตกลงว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ มีกลไกใหม่ ๆ ที่จะส่งเสริมการอนุรักษ์ป่าและลดการตัดไม้ทำลายป่า พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ รวมทั้งหาวิธีที่จะทำให้เทคโนโลยีเหล่านี้ได้รับการใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น นอกจากนี้ เรายังจำเป็นที่ะต้องให้ความช่วยเหลือทางการเงินต่อประเทศกำลังพัฒนาให้มากขึ้นเพื่อให้ประเทศเหล่านั้นสามารถปรับตัวเข้ากับผลที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งพัฒนาตลาดการซื้อขายคาร์บอนเครดิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น คณะทำงานหลักภายใต้ระบบพหุภาคีใหม่นี้ น่าจะมีส่วนช่วยในการผลักดันให้เกิดมาตรการใหม่ ๆ อันเกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาพลังงาน ปัญหาสิ่งแวดล้อม และมาตรการทางการเงินที่จะช่วยสนับสนุนการเจรจาระดับสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งส่งเสริมข้อตกลงว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ในความเป็นจริง
และในฐานะที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังใกล้เข้ามาทุกที ผมจึงอยากจะเรียนว่า ในขณะที่หน้าที่ในการฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจโลกควรจะเป็นภารกิจเร่งด่วนภารกิจหนึ่งของประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ นั้น เราต้องยอมรับว่า การแก้ไขปัญหานี้หาใช่เป็นภาระของสหรัฐฯ แต่เพียงประเทศเดียวไม่ แต่มันควรจะเป็นภาระของสมาชิกทุกคนในระบบพหุภาคี
แม้สภาวะการณ์ในปัจจุบันจะยากลำบากสำหรับโลก แต่วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นก็ยังมาพร้อม ๆ กับโอกาสด้วย ขณะนี้ มีประเทศหลายประเทศที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบแก้ไขปัญหาแบบพหุภาคีในปัจจุบันที่มีความตั้งใจจริงในการช่วยเหลือประเทศอื่น ๆ ให้ผ่านพ้นปัญหานี้ไปได้ ดังนั้น ภาระกิจเร่งด่วนของเราจึงควรจะเป็นการปรับปรุงระบบและตลาดเงินตลาดทุนของโลกนั้นให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างทันต่อเหตุการณ์มากยิ่งขึ้น
นายโรเบิร์ต บี เซลลิค เป็นประธานกลุ่มธนาคารโลก ข้อเขียนชิ้นนี้ดัดแปลงมาจากสุนทรพจน์ของเขาเมื่อวันที่ 6 ตุลาคมที่ผ่านมา ก่อนการเปิดการประชุมประจำปีของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี
http://web.worldbank.org/WBSITE/EXTERNAL/COUNTRIES/EASTASIAPACIFICEXT/THAILANDINTHAIEXTN/0,,contentMDK:21937680~menuPK:487349~pagePK:2865066~piPK:2865079~theSitePK:486697,00.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น