แจ้งเพื่อทราบว่าบล็อกเกอร์นี้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการเรียนการสอนรายวิชาอินเตอร์เน็ตในชีวิตประจำวัน นิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ขอขอบคุณที่เข้ามาเยียมชม

ชอบๆๆๆ

วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

ตอน เศรษฐกิจพอเพียงกับการบริหารเงิน


 ตอน เศรษฐกิจพอเพียงกับการบริหารเงิน
                                             
พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙
เมื่อวันอังคารที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐
ณ. พระราชวังสวนจิตรลดา
“...ฉะนั้นก็ต้องคิดดีๆว่าที่ได้ทำโครงการนั้น ก็มีจุดประสงค์ที่จะให้มีรายได้...
...ทำโครงการนี้อะไรก็ตามจะต้องมีเหตุผล ก็ต้องบริหารงานการให้ดีทุกอย่าง บริหารโครงการ บริหารกิจการต่างๆ บริหารเงิน ทุกอย่างจะต้องบริหารให้ดี ฉะนั้นถ้าไม่บริหาร ก็ล่มจม...
...ก็ขอให้คิดว่าทำอะไรต้องประหยัด คนก็ว่า ประหยัดดีกว่าไม่มีเลย...
...พอเพียง คือ อะไรไม่ใช่ว่าให้ทำกำไรเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเอง ทำกำไรก็ทำ ถ้าเราทำกำไรได้ดีมันก็ดี แต่ว่าขอให้มันพอเพียง ถ้าท่านเอากำไรหน้าเลือดมากเกินไป มันไม่ใช่พอเพียง...
...พอเพียง ถ้ามีเงินก็ต้องใช้ไม่ใช่ขี้เหนียวซื้อไปเถอะ แต่ถ้าไม่มีเงินก็ระงับหน่อย ถ้าไม่มีเงินแล้วจ่ายจะอันตราย...อย่างสมัยนี้ คนไม่มีเงิน ให้ใช้เงิน ใช้เงินมากๆ เพราะว่าถ้าคนไม่มีเงิน ใช้เงินมากๆก็ต้องไปกู้ คนที่มีเงินมากๆก็ได้กำไรไม่พอเพียง...”[2]
๑.     ความเป็นมาและปัญหาสาเหตุ                                                                                                                ๑.๑ ความเป็นมา การเป็นผู้ประกอบการธุรกิจSMEs ในบ้านเรา ที่จะให้ประสบความสำเร็จต้องขอบอกว่าเป็นเรื่องที่ยากเย็นมากๆ ด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น ไม่มีโรงเรียนสอนการเป็นผู้ประกอบ การธุรกิจ ที่สอนให้นักเรียนนักศึกษาออกมาเป็นผู้ประกอบการ โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยสอนคนออกมาเพื่อรับราชการทำงานเป็นลูกจ้างบริษัทเอกชน กว่าจะคิดที่เป็นผู้ประกอบการธุรกิจได้ชีวิตก็ผ่านเลยไปครึ่งชีวิต การเริ่มต้นจึงดูเหมือนว่าจะช้าไปที่จะทำให้ธุรกิจที่ทำเป็นเรื่องเป็นราวพัฒนาให้ได้ดี ในครึ่งหลังของชีวิต ที่มาของผู้ประกอบการธุรกิจSMEsอีกส่วนหนึ่ง คือ กลุ่มที่ไม่ได้เรียนหนังสือหรือรับช่วงต่อจากกิจการของครอบครัว เข้าไปทำงานอยู่ในภาคการผลิต การค้าหรือบริการ ใช้วิธีครูพักลักจำหรือการลองผิดลองถูกไปเลยๆ คนกลุ่มนี้กว่าจะประสบความสำเร็จจะพอๆกับกลุ่มแรก คือผ่านไปแล้วครึ่งชีวิต  มีผู้สำรวจผู้ประกอบการSMEsหน้าใหม่ในบ้านเรา ๑๐๐ราย จะสามารถอยู่รอดปลอดภัยในธุรกิจหลังจากทำมาแล้ว ๓ปีเพียง ๕๐เปอร์เซนต์และสามารถขยับขยาย ตัวเองให้เป็นขนาดกลางขนาดใหญ่ในระยะเวลา ๑๐ปีเหลือเพียง ๒-๓ รายเท่านั้น เราจะเห็นได้ว่าผู้ประกอบการธุรกิจSMEsมีปัญหามากมายที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรค์กว่าจะที่ประสบความสำเร็จ                               ๑.๒ ลักษณะและข้อจำกัดโดยทั่วไปของธุรกิจSMEsไทย สามารถแยกเป็นด้านๆได้ดังนี้                                       (๑) ด้านการตลาด สามารถผลิตสินค้าตอบสนองความต้องการตลาดในท้องถิ่นหรือภายใน ประเทศ แต่ขาดความรู้ความสามารถการตลาดต่างประเทศ การถูกธุรกิจขนาดใหญ่และสินค้าจากต่างประเทศเข้ามารุกรานถึงท้องถิ่น สามารถในการแข่งขันด้านราคาต่ำ                                                                      (๒) ด้านแรงงาน แรงงานมีการเข้าออกสูง เมื่อมีฝีมือมีความสามารถความชำนาญจะย้ายไปทำงานในโรงงานขนาดใหญ่มีผลตอบแทนดีกว่า จึงทำให้คุณภาพของแรงงานไม่สม่ำเสมอ  การพัฒนาไม่ต่อเนื่องส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพสินค้า                                                                             (๓) ด้านเทคโนโลยีการผลิต SMEsใช้เทคนิคการผลิตไม่ซับซ้อน เนื่องจากการลงทุนต่ำและผู้ประกอบการ ลูกจ้างขาดความรู้ที่รองรับเทคนิคที่ทันสมัยจึงทำให้ขาดการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ตลอดจนการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานที่ดี                                                                                                                     (๔) ด้านการจัดการ การขาดความรู้ในการบริหารจัดการที่มีระบบ ใช้ประสบการณ์จากการเรียนรู้จากการทำงาน บริหารโดยอาศัยบุคคลในครอบครัวญาติมาช่วยงาน แม้จะมีข้อดีในเรื่องการดูแลที่ทั่วถึง แต่เมื่อกิจการขยายตัวหากไม่ปรับปรุงการบริหารจัดการก็จะเกิดปัญหาขึ้นได้                       (๕) การเข้าถึงบริการของรัฐ SMEsเป็นการจัดตั้งกิจการที่มีรูปแบบไม่เป็นทางการ ไม่มีการจดทะเบียน เป็นการปิดกั้นตัวเองในการเข้ามาใช้บริการของรัฐ เนื่องจากปฏิบัติไม่ถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับของรัฐ ข้อจำกัดในการรับรู้ข่าวสารข้อมูลของรัฐและการตลาดเป็นต้น                                               ๑.๓ ปัญหาและอุปสรรคด้านการเงินของ SMEs จากการสำรวจสอบถามข้อมูลจากผู้ประกอบการSMEs ที่เป็นหนี้เสียกับสถาบันการเงิน(NPL)พบว่า ผู้ประกอบการSMEsที่มีปัญหาทางการเงินนั้นมีองค์ประกอบของปัญหาดังต่อไปนี้                                                                                                                                 (๑) แหล่งเงินทุน ลักษณะทั่วไปของSMEsมีเงินลงทุนน้อยเงินทุนส่วนใหญ่เกิดจากการสะสมเก็บออมของตนเอง การได้รับอุปการะจากพ่อแม่ญาติพี่น้อง  เมื่อต้องการขยายกิจการหรือเพิ่มเงิน ทุนหมุนเวียน จึงต้องอาศัยเงินทุนจากสถาบันการเงิน มักประสบปัญหาการไม่ได้การพิจารณาเนื่องจากไม่มีการจัดทำบัญชี ขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน ทำให้ต้องพึ่งพาเงินกู้นอกระบบและต้องจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่สูง  ซึ่งจะเป็นปัญหาเรื่องต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น                                 (๒) การบริหารเงิน                                                                                                                                                         - วินัยทางการเงิน เป็นเรื่องของการใช้เงินไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ ตัวอย่างเช่นได้เงินกู้ยืมมาลงทุนแต่นำเงินไปใช้จ่ายลงทุนด้านอื่นหรือกิจส่วนตัว การลงทุนบางรายการสูงกว่าที่กำหนดไว้ เช่น การก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ขึ้น การซื้อเครื่องจักรเกินความต้องการมากๆ  ถึงกำหนดการชำระหนี้แต่กลับนำเงินไปลงทุนเพิ่มหรือไปใช้จ่ายด้านอื่น และคิดว่าจะหาเงินมาชำระได้ทัน                             - ปัญหาการบริหารกระแสเงินสด ปัญหาเงินขาดมือ เงินไม่พอจ่ายค่าสินค้าค่าวัตถุดิบ เนื่องจากSMEsใช้วิธีการประมาณการเงินสดจากเงินในกระเป๋าหรือเงินในบัญชีธนาคารในแต่ละเดือน ขาดการบริหารเงินเข้าออกของกิจการ(การจดบันทึกกระแสเงินสดจากการขายสินค้าและเงินจ่ายซื้อวัตถุดิบไม่พอดีสมดุลกันหรือการคำนวณน่าจะมีเงินสดคงเหลือมากกว่า) เมื่อเงินสดขาดมือก็จะใช้วิธีหยิบยืมระยะสั้นโดยการแลกเช็ค ซึ่งเป็นที่มาของต้นทุนการผลิตที่สูง                                                                - ปัญหาเรื่องรายรับ-รายจ่าย เป็นการบริหารการซื้อการขายที่ส่งผลกระทบมายังการบริหารเงินเช่น การขายเงินสดน้อยขายเงินเชื่อมาก ทำให้ครั้งต่อไปไม่มีเงินซื้อวัตถุดิบมาผลิตต้องหยุดกิจการชั่วคราวเงินมาเมื่อไรจึงเริ่มผลิตใหม่ได้ หรือ ตนได้รับเครดิตการค้ามา ๓๐วันแต่ให้เครดิตกับลูกค้าของตน ๔๕วัน๖๐วัน ทั้งสองกรณีจะเห็นว่าทำให้เงินสดขาดมือ ขาดเงินทุนหมุนเวียน                                        - ปัญหาการบริหารทรัพย์สินและหนี้สิน ประการแรก ด้านทรัพย์สิน ความเหมาะสมในการถือทรัพย์สินเช่นวัตถุดิบมากเกินความจำเป็นจะใช้  สินค้าคงเหลือมากรวมทั้งไม่มีการเช็คสต๊อกสินค้า มีลูกหนี้ค้างชำระมากทั้งจำนวนรายและจำนวนเงินไม่สามารถเรียกเก็บหนี้ได้ นำเงินไปลงทุนในกิจการอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของตนเอง มีทรัพย์สินบางรายการที่ถืออยู่โดยไม่ได้ใช้ประโยชน์เช่น ถือครองทรัพย์สินประเภท ทองคำ ของสะสมพระเครื่อง หรือ ถือครองที่ดินมากเกินการความจำเป็นในการใช้  การสร้างอาคารสิ่งปลูกสร้างที่ใหญ่โตแต่ใช้พื้นที่นิดเดียว การซื้อเครื่องจักรที่มีความสามารถในการผลิตเกินการผลิตจริง  ประการที่สอง ด้านหนี้สิน มีเครดิตการค้ามากไม่ยอมชำระตามเวลาที่กำหนด มีหนี้เงินกู้กับสถาบันการเงินและหนี้นอกระบบมากเกินความสามารถในการชำระหนี้ทั้งดอกเบี้ยและเงินต้น มีหนี้ค่าใช้จ่ายค้างชำระ เช่น ค่าภาษี ค่าแรงงาน ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์                                                                                                                                                               เราต้องยอมรับว่าปัญหาด้านการเงินของผู้ประกอบการธุรกิจSMEsเป็นปัญหาเริ่มต้นของปัญหา ด้านอื่นๆที่จะลุกลามตามมา เป็นปัญหาสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจและการดำรงอยู่ต่อไปของธุรกิจ ไม่มีปัญหาใดที่ไม่สามารถแก้ไขได้ทุกปัญหาแก้ไขได้หากเรามีสติ                                                                      ๒. แนวคิดและปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง(Philosophy of the Sufficiency Economy)                        “เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า 25 ปี ตั้งแต่ก่อนวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ และเมื่อภายหลังได้ทรงเน้นย้ำแนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้น แนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชนจนถึงระดับรัฐ ให้ดำเนินไปใน“ทางสายกลาง”เพื่อสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ


 ๒.๑ ทางสายกลางหรือมัชฌิมาปฏิปทา หมายถึง ทางปฏิบัติที่ไม่สุดโต่งไปในทางอุดมการณ์ใดอุดมการณ์หนึ่งเกินไป มุ่งเน้นใช้ปัญญาในการแก้ปัญหาไม่ยืดถือหลักการอย่างงมงาย ในทางพุทธศาสนาทางสายกลาง คือ อริยมรรค มีองค์ 8 คือ ศีล สมาธิ ปัญญา การไม่ยึดถือสุดทางทั้ง 2 คือ การกระทำให้ตนเองให้ลำบากเกินไป หรือการพัวพันหลงมัวเมาในกามในความสบาย                                       ทางสายกลาง ความพอเพียงจะต้องประกอบด้วย 3 คุณลักษณะพร้อมๆ กัน ดังนี้
(๑) ความพอประมาณ เป็นการทำอะไรแบบไม่เกินตัว ต้องมีการพึงพาตนเองก่อน ไม่ทำอะไรเกินความสามารถของตนเอง เกินสติปัญญาหรือทำในสิ่งที่เราไม่รู้ หรือยังไม่ได้เรียนรู้                                 (๒) มีเหตุผล การใช้หลักธรรมะ(ธรรมชาติ)มาเป็นหลักคิดในการดำเนินชีวิตการได้คิดหาหลักเหตุหลักผล การรู้ถึงรากหรือบ่อกำเนิดของปัญหา(สมุทัย) เราสามารถค้นหาปัญหา(ความทุกข์)จนพบความดับทุกข์ การเข้าใจความจริง(นิโรธ)ไปสู่การดับความเศร้า และหนทางนำไปสู่ความดับทุกข์ การใช้สติ การใช้ความคิด(มรรค)
                 (๓) มีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี ด้วยหลักธรรมะภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี คือ ศีล สมาธิ และปัญญา
                - ศีล คือ สัมมาวาจา การพูดจาถูกต้อง สัมมากัมมันตะ   การกระทำถูกต้อง สัมมาอาชีวะ การดำรงชีพถูกต้อง
- สมาธิ คือ  สัมมาวายามะ ความพากเพียรถูกต้อง  สัมมาสติ  ความระลึกถูก สัมมาสมาธิ การตั้งใจมั่นถูกต้อง
- ปัญญา คือ สัมมาทิฏฐิ ความเข้าใจถูกต้อง สัมมาสังกัปปะ ความใฝ่ใจถูกต้อง
๒.๒ เงื่อนไข/คุณสมบัติ
(๑)  กรอกความรู้ ประกอบด้วย                                                                                                             - รอบรู้ ทำธุรกิจอะไรต้องรู้จริงรู้แจ้ง สิ่งใดไม่รู้เพียรแสวงหามั่นเพิ่มเติมความรู้                 - รอบคอบ คิดให้รอบคอบการวางแผนงานแบบก้าวเดินทีละก้าว ไม่วิ่งหรือก้าวกระโดด
ตามกระแส                                                                                                                                                                             - ระมัดระวัง โดยทุกขั้นทุกตอนมีการประชุมระดมความคิดมีการวางแผนงาน
                (๒) คุณธรรม ประกอบด้วย ซื่อสัตย์สุจริต ขยันอดทน  สติปัญญา และแบ่งปัน ทั้ง๔คำเป็นคำที่สื่อสารให้เราทราบแบบง่ายๆตรงไปตรงมามีความหมายในตัวของแต่ละคำ ขึ้นอยู่กับเราจะปฏิบัติได้ดีขั้นใด

๓. การนำทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงปรับใช้กับการบริหารเงิน เมื่อเราทราบแล้วว่าทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงคืออะไรเป้นอย่างไรแล้ว เราสามารถปรับให้เข้ากับการบริหารเงินได้อย่างไร
๓.๑ ทางสายกลาง ในทางปฏิบัติให้เข้ากับการบริหารเงินของธุรกิจ ก็คือ การที่ผู้ประกอบการต้องเป็นคนบริหารสติเสียก่อน เราเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “สติมาปัญญาเกิด ใช้ชีวิตอยู่บนความไม่ประมาท” ไม่ไหลไปกับอาการ โลภ โกธร หลง ที่ครอบงำจิตใจของเรา                                                                (๑) ปรัชญาการทำธุรกิจของSMES                                                                       - เราทำธุรกิจต้องมีความเจริญเติบโต บนพื้นฐานของความมั่นคงทางธุรกิจและยั่งยืน  ทำการลดความเสี่ยงให้น้อยที่สุดหรือไม่มีความเสี่ยงเลย คิดให้ออกว่าเราจะขยายธุรกิจอย่างไรดีตามความรู้ความสามารถ ค่อยเป็นค่อยไปไม่ต้องก้าวกระโดด ทำฐานให้แน่นเสียก่อน
                - เราทำธุรกิจต้องมีกำไร กำไรไม่มากไปไม่น้อยไป เราฝากเงินกับธนาคารได้ดอกเบี้ยมาร้อยละหนึ่งบาทสองบาทต่อปี เราเอาเงินไปลงทุนทำธุรกิจได้กำไรมาปีละร้อยละห้าบาทสิบบาท เราพอใจ การทำกำไรต่างจากการเก็งกำไร การเก็งกำไรหมายถึง เรากำลังเอาธุรกิจของเราเข้าไปเสี่ยงกับสิ่งที่เราไม่สามารถคาดการณ์ได้ เสี่ยงกับความล้มเหลวล้มละลาย
                - เราต้องมีสภาพคล่องทางการเงิน  ตอนเริ่มต้นธุรกิจเราต้องให้เงินของเราที่เก็บหอมรอมริดมาทั้งชีวิตบวกกับเงินของผู้มีอุปการะคุณ เมื่อทำธุรกิจไปเลยเราต้องดูแลรักษาสภาพคล่องของเงินให้ดี อย่าให้ขาดมือได้ แต่ละเดือนต้องมีเงินจ่ายค่าจ้างลูกน้อง ลูกน้องจะได้มีกำลังในการทำงานมีเงินชำระค่าวัตถุดิบ คู่ค้าจะได้ส่งวัตถุดิบส่งสินค้าให้เราอย่างสม่ำเสมอ ไม่ถูกตัดน้ำตัดไฟ เป็นต้น
                (๒) ความพอประมาณ ตัวอย่างเช่น ทำธุรกิจแบบพอเพียงทำกำไรได้ แต่เราต้องรู้ตัวว่าการทำกำไรนั้นๆต้องไม่มากเกินไปจนดูเหมือนเป็นการเอารัดเอาเปรียบลูกค้าหรือสังคม กำไรน้อยเกินจนไม่พอต่อต้นทุนการผลิตพอต่อค่าใช้จ่ายพอต่อการเสียภาษีเสียดอกเบี้ย ทำธุรกิจแบบพอเพียงก็กู้เงินได้ แต่เราต้องรู้ตัวว่าเมื่อได้เงินกู้มาแล้วตอนนำเงินมาลงทุนให้ถูกวัตถุประสงค์ของการขอกู้ ไม่ลงทุนเกินตัว ไม่เอาเงินกู้ไปใช้จ่ายส่วนตัว สถาบันการเงินที่อนุมัติเงินกู้ให้แก่เราได้พิจารณาคำนวณตัวเลขดีแล้วว่าจำนวนเงินลงทุนควรเป็นเท่าไรจำนวนเงินที่จะใช้ในการหมุนเวียนเท่าไร หากขายได้ตามที่ประมาณการณ์ไว้เราสามารถทำธุรกิจได้อยู่รอดได้มีเงินจ่ายดอกเบี้ยและคืนชำระเงินต้นได้
                (๓) มีเหตุมีผล การใช้หลักเหตุผล การไม่โลภไปกับสิ่งยวนยั่วนที่เขานำมาหลอกล่อ ไม่เสี่ยงกับสิ่งที่ไม่มีเหตุไม่มีผลกับคำโฆษณาชวนเชื่อ ความโกธรเป็นฟืนเป็นไฟ การใช้อารมณ์เหนือเหตุผล เราตัดสินใจจะลงทุนอะไรอย่างไร ต้องไม่ใช้อารมณ์ อยู่บนหลักเหตุผล  การไม่หลงมัวเมาไปกับสิ่งเร้าภายนอก คิดไตร่ ตรองให้ดีก่อนตัดสินใจ แล้วเราจะได้ชื่อว่า“เป็นคนที่กระทำอะไร ด้วยสติ ด้วยความไม่ประมาท”
                (๔)  มีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี ในการบริหารธุรกิจบริหารการเงินเราสามารถปรับใช้กับ ศีล สมาธิ ปัญญาได้ เช่นกัน
                - มีศีล  เจตนา ความตั้งใจละเว้นจากการทำในสิ่งที่ไม่ดีงาม ได้แก่ สัมมาวาจา เว้นจากการพูดไม่จริง พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ทำธุรกิจเราต้องเป็นคน การพูดจาถูกต้องไพเราะ อ่อนหวาน มีหางเสียง พูดแต่สิ่งที่ดี พูดมีหลักการมีเหตุมีผล จะเป็นคนที่ได้รับความนิยม มีคนชื่นชมชมชอบ ทำให้ขายสินค้าได้ดีได้มากได้ราคา  สัมมากัมมันตะ เว้นจากการการกระทำในสิ่งไม่ถูกต้อง ไม่ขายสินค้าที่ต่ำคุณภาพ ไม่ขายสินค้าเกินราคาหรือขูดรีดประชาชน ไม่ฉวยโอกาสทำให้สินค้าขาดแคลน  ขายสินค้าด้วยความเป็นธรรมเที่ยงธรรม สัมมาอาชีวะ ละเว้นจากการประกอบอาชีพที่ผิดทาง ค้าขายอาวุธ การค้าสิ่งมีชีวิต การค้าขายเนื้อสัตว์ การค้าขายน้ำเมา การค้ายาพิษ ประกอบอาชีพในทงที่ถูก การดำรงชีพถูกต้อง ทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง จิตใจเป็นสุข
                - สมาธิ คือ  สัมมาวายามะ มีความพากเพียรพยายามไม่ย้อท้อ มีความมุมานะ ไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งใดง่ายๆ   สัมมาสติ  ความระลึกถูก ให้สะอาดบริสุทธิ์ในการคิด พูด และทำ ไม่คิดถึงความสำเร็จไม่อดีต ไม่นึกถึงความล้มเหลวในอนาคต แต่คิดที่จะทำปัจจุบันให้ดีที่สุดตามความรู้ความสามารถ พูดในสิ่งที่เราคิด(ที่ดีที่มีประโยชน์) ทำในสิ่งที่เราพูด สัมมาสมาธิ การตั้งใจมั่นถูกต้อง สมาธิเป็นของจำเป็นกิจการทุกอย่าง มีใจจดจ่อกับการทำงานกับธุรกิจ
- ปัญญา คือ สัมมาทิฏฐิ ความเข้าใจถูกต้อง สัมมาสังกัปปะ ความใฝ่ใจถูกต้อง คิดหาทางออกไปจากทุกข์กฎแห่งเหตุผล การไม่ทำทุกข์ให้แก่ผู้อื่นทั้งเจตนาและไม่เจตนา หากเรามีศีลครบปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ มีสมาธิ จดจ่อในการทำงานทำธุรกิจ ปัญญามันจะเกิดในตัวของเราให้การแก้ไขปัญหาในการพัฒนาธุรกิจให้ดีขึ้น
๓.๒ เงื่อนไข/คุณสมบัติ
(๑)  กรอกความรู้ ประกอบด้วย                                                                                                             - รอบรู้ เมื่อแรกเริ่มเมื่อไม่รู้ว่าจะบริหารเงินอย่างไรก็ตามศึกษาหาความรู้เราสามารถศึกษา
ได้จากความสำเร็จของธุรกิจและศึกษาจากผู้ประกอบการที่ล้มเหลว ตั้งแต่การหาแก่นของความรู้ทำไมเราถึงเลือกทำธุรกิจนี้ด้วย เมื่อไรเรารักเราชอบเราทำมัน ในเชิงธุรกิจบอกว่าเราจะทำได้ดี เราจะตั้งใจทำเราจะเอาใจใส่ เราจะดูแล ทางการบริการเงินเราต้องศึกษารู้ว่า
·       เมื่อเราขาดเงินจะหาแหล่งเงินทุนที่ไหน เราต้องเขียนโครงการขอกู้อย่างไร
·       เราจะผ่อนชำระหนี้มากน้อยเพียงใด จะไม่กระทบกับสภาพคล่อง
·       เราจะขายสดเท่าไรขายเชื่อเท่าไร เชื่อได้นานกี่วันจำนวนเงินเท่าไร
·       เรามีวัตถดิบมากเกินความต้องการ มีสินค้าคงเลหือมากจะทำอย่างไร
·       เรามีที่ดินเกินความต้องการใช้ เราจะทำอย่างไร
·       มีหนี้การค้าเราต้องดูแลให้ดี ถึงเวลาชำระหนี้ต้องตรงเวลา เครดิตจะดี
·       ต้องไม่ก่อหนี้นอกระบอบโดยเด็ดขาด อัตราดอกเบี้ยแพง
·       มีกำไรอย่าลืมนำมาสะสมไว้ ไม่ปันผลจนหมด เวลาไม่มีเงินจะได้นำมาใช้
สิ่งเหล่านี้ผู้เป็นเจ้าของธุรกิจต้องเรียนรู้ไว้ ไม่ใช่เมื่อเกิดปัญหาจึงจะหาทางแก้ไข เรา
ต้องรอบรู้ก่อน เป้นการเพิ่มศักยภาพประสิทธิภาพในการบริหารงาน                                                                    - รอบคอบ การบริหารเงินต้องมีความรอบคอบสูง ต้องมีวินัยทางการเงินสูง หย่อนยานไม่ได้ ทำธุรกิจก็กู้เงินได้ แต่เราต้องรู้จักใช้เงินในถูกวิธี ไม่ใช้เงินผิดประเภทผิดวัตถุประสงค์ แม้แต่เงินของเราเอง ใครจะมาหยิบยืมเงินที่ทำธุรกิจไม่ได้ ต้องนึกเสมอหากเราไม่ได้รับเงินกลับคืนมาทันเวลาการผลิต ใครจะเดือดร้อนบ้างทั้งลูกค้า ลูกน้อง เจ้าหนี้ ลูกหนี้  เราขายสินค้าเป็นเงินเชื่อต้องพิจารณาลูกหนี้แต่ละรายว่าจะให้เชื่อได้กี่วันซื้อเชื่อได้จำนวนเงินเท่าไร เราบริหารลูกหนี้ได้ เรามาบริหารเจ้าหนี้ต่อ เมื่อเรารู้ระยะเวลาให้ลูกหนี้เชื่อรู้จำนวนเงิน เราหาวิธีต่อรองกับเจ้าหนี้ให้ได้ระยะเวลาที่ยาวกว่าให้ลูกหนี้เจรจาให้ได้จำนวนเงินที่มากกว่าให้ลูกหนี้ หรือในทางตรงข้ามหากเราสามารถเจรจากับเจ้าหนี้ได้ก่อนและค่อยมาบริหารลูกหนี้ก่อนได้เหมือนกัน
                - ระมัดระวัง ใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ที่หามาได้ด้วยความประหยัดระมัดระวังไม่สุรุ่ยสุร่าย จะซื้อสินค้ามาขายก็ต้องพิจารณาให้ดีของเสียยากเสียง่าย จะซื้อมามากน้อยเพียงใด ถ้าสินค้าตกรุ่นไม่เป็นทีต้องการของลูกค้าแล้วจะทำอย่างไรกับสินค้านั้นๆ จะกู้เงินก็ต้องระมัดระวังต้องคิดเสมอว่าเงินที่ได้มาต้องใช้ให้เกิดประโยชนืให้มากที่สุด เพราะเป็นเงินที่มีต้นทุน(ดอกเบี้ยจ่าย) แม้แต่เงินของเราก็มีต้นทุนเช่นกัน เพราะหากเราไม่เอามาลงทุนค้าขาย เอาไปฝากธนาคารเราก็ได้ดอกเบี้ย
โดยทุกขั้นทุกตอนต้องคิดต้องประชุมระดมความคิดมีการวางแผน งานทั้งการตลาด การดำเนินงาน โดยเฉพาะด้านการเงิน นึกอยู่เสมอเวลาเราติดขัดขาดเงินไม่เคยมีใครช่วยเราได้ ยกเว้นตัวเราเอง
                (๒) คุณธรรม ประกอบด้วย                                                                                                                              - ซื่อสัตย์สุจริต ประพฤติตรงไปตรงมาด้วยความจริงใจ ไม่คิดคดทรยศ ไม่คดโกงและไม่หลอกลวง ความประพฤติดีงาม ประพฤติชอบด้วยความตั้งใจดี คนที่มีความซื่อสัตย์สุจริต เป็นหนี้ต้องชำระหนี้ ไม่คิดโกงเงินใคร ไม่โกงไม่หลอกลวงลูกค้า พูดความจริง
                - ขยันอดทน คือ ความตั้งใจเพียรพยายามทำหน้าที่การงานอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ อดทน ความขยันต้องปฏิบัติควบคู่กับการใช้สติปัญญาแก้ ปัญหาจนเกิดผลสำเร็จ คนสู้งาน ไม่ท้อถอย กล้าเผชิญอุปสรรค อดทนหลีกเลี่ยงจากความชั่ว อดทนทำความดี อดทนรักษาใจไม่ให้เศร้าหมอง  อดทนต่อความยากลำบาก อดทนต่อทุกขเวทนา อดทนต่อความเจ็บใจ อดทนต่ออำนาจกิเลส                         - สติปัญญา ปัญญา ความรู้ทั่วถึงเหตุถึงผล รู้อย่างชัดเจน รู้เรื่องบาปบุญคุณโทษ รู้สิ่งที่ควรทำควรเว้น ไม่ให้หลงเชื่ออย่างงมงาย ปัญญาทำให้เกิดได้มี 3 วิธี คือ โดยการสดับตรับฟังการศึกษาเล่าเรียนโดยการคิดค้นการตรึกตรอง โดยการอบรมจิตการเจริญภาวนา สติหมายถึง ความระลึก ได้มีความรอบคอบ ไม่ลืม ไม่เผลอ ไม่ประมาท                                                                                                                - แบ่งปัน คือ การให้ การแบ่งปันสิ่งที่เรามี ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ หรือสิ่งที่เราสามารถให้แก่ผู้อื่นได้ และเป็นประโยชน์กับคนที่ได้รับ การให้นั้น หากได้มอบให้ผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนและบริสุทธิ์ใจ จะทำให้ผู้ที่มอบนั้นได้รับความสุขที่เป็นความทรงจำยาวนาน การแบ่งปันควรเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเองจากจิตสำนึก

๔. ผลที่คาดว่าจะได้รับ ผลนำไปสู่  ชีวิตความเป็นอยู่
                (๑) เศรษฐกิจ   มีงานทำ มีความสบายใจ มีรายได้ด้วยการพึงตนเอง การไม่เป็นหนี้ มีหนี้ก็ลดลงทุกเดือนทุกปี การได้ช่วยเหลือสังคม
        (๒) สังคม การไม่ต้องเบียดเบียนซึ่งกันและกัน การพึ่งพาอาศัยกัน การมีจิตใจที่โอบอ้อม
อารีย์ การรู้จักการแบ่งปัน
        (๓) สิ่งแวดล้อม  การไม่ก่อมลภาวะ การลดมลภาวะ การพัฒนาให้ดีขึ้น การใช้วัสดุเหลือใช้
        (๔) วัฒนธรรม การรักษา การส่งเสริม การใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ขนบธรรมเนียมประเพณี
วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ ให้สังคมดำรงคงความเป็นไทย
๒.๔ การจัดการแบบยั่งยืน
(๑) สมดุล การทำชีวิตให้สมดุล การทำงานให้สมดุล การใช้จ่ายแบบสมดุล ในการดำเนินชีวิตต้องไม่เคร่งครัด ต้องมีระเบียบแบบแผนตายตัว แต่ก็ไม่ใช่ที่ไม่มีขอบกำหนดกฎเกณฑ์ใดๆเสียเลย โดยปกติของคนการดำรงชีวิตเมื่อทำงานได้รับกำไรหรือค่าจ้างแรงงาน ต้องรู้จักแบ่งเงินเพื่อส่วนค่าใช้จ่าย ส่วนที่เก็บไว้ในยามจำเป็นหรือฉุกเฉิน
(๒) มั่นคง – ทำให้เกิดความมั่นคงในชีวิต มั่นคงทางการงาน ความมั่นคงทางการเงิน ความมั่นคงในความเป็นอยู่ของตนเอง และเผื่อแผ่ไปสู่สังคมชุมชน                                                                            (๓) ยั่งยืน การเริ่มต้นที่การช่วยเหลือตนเอง  การรู้จักต่อยอดธุรกิจ การสร้างความเจริญ เติบโตของในตนเองและของกลุ่มชุมชน หรือประเทศชาติ
๕. สรุป  ท่านเคยทราบว่าทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงในแง่มุมอื่น แต่ผมเห็นว่าเศราฐกิจพอเพียงสามารถปรับใช้ได้กับธุรกิจทุกธุรกิจ แม้แต่ด้านการบริหารเงินเศราฐกิจก็สามารถจะปรับใช้ได้เช่นกัน
หนังสือและเอกสารอ้างอิง
http://www.doae.go.th/report/SE/html/04.htm
http://www.ismed.or.th/SME
http://th.wikipedia.org/wiki
หนังสือพิมพ์แนวหน้า ปีที่ ๒๘ ฉบับที่ ๙๗๔๗ วันพุธที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น