แจ้งเพื่อทราบว่าบล็อกเกอร์นี้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการเรียนการสอนรายวิชาอินเตอร์เน็ตในชีวิตประจำวัน นิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ขอขอบคุณที่เข้ามาเยียมชม
ชอบๆๆๆ
วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555
เศรษฐกิจพอเพียงกับการวางแผนการเงิน
เศรษฐกิจพอเพียงกับการวางแผนการเงิน
จากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันอาทิตย์ที่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
อัจฉรา โยมสินธุ์ atchara.y@bu.ac.th
มีข้อมูลจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และการศึกษาเรื่องการขยายตัวของความเจ็บป่วยโดยคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเปิดเผยว่า เมื่อเทียบกับในอดีตคนไทยเป็นโรคเบาหวานเพิ่มขึ้น เป็นโรคความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้น มีไขมัน มีน้ำตาล มีโคเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น เป็นโรคเรื้อรังเพิ่มขึ้น มีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์ปกติมากขึ้น เป็นโรคอ้วนมากขึ้น ส่วนข้อมูลจาก Living Planet Report ๒๐๑๐ ก็รายงานว่าโลกของเราสุขภาพย่ำแย่ลงอย่างรวดเร็วทุกปี ดรรชนีความสมบูรณ์ตามธรรมชาติของโลกลดลงอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันความต้องการบริโภคของมุนษย์มีมากเกินกว่า
ปริมาณทรัพยากรของโลกไปแล้ว... และมีการคาดการณ์ว่าในปี ๒๐๓๐ และ ๒๐๕๐ การบริโภคจะเพิ่มขึ้นเป็น ๒ และ ๒.๘ เท่า เราจึงต้องมีโลก ๒ – ๓ ใบจึงจะมีทรัพยากรเพียงพอสำหรับความต้องการบริโภค!!!
เพราะคนจำนวนมากทั่วโลกพ่ายแพ้ต่อกิเลสตัณหาจึงบริโภคเกินความจำเป็น จนเป็นเหตุให้มีสารพัดโรคเรื้อรังรุมเร้ามีข้าวของรกรุงรัง กระทั่งมีหนี้สินล้นพ้นตัว เพราะเกษตรกรส่วนใหญ่ต้องการผลผลิตเยอะๆ จึงใช้ปุ๋ยใช้สารเร่งโตเร่งสีเร่งดอกเร่งผล จนเป็นเหตุให้ดินเสื่อมโทรม ร่างกายทรุดโทรม เพราะนายทุนส่วนใหญ่ต้องการผลประโยชน์มากๆ จึงทำเรื่องไม่เหมาะไม่ควรทั้งรุกล้ำทำลายป่า ติดสินบนเจ้าหน้าที่ จนเป็นเหตุให้ป่าไม้ถูกทำลายอย่างรวดเร็ว เพราะผู้บริหารในหลายประเทศต้องการเร่งสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ จึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านอื่นๆ น้อยกว่าที่ควรจนเป็นเหตุให้เกิดการ
พัฒนาที่ไม่สมดุล... ปัญหาที่เกิดขึ้นบนโลกส่วนใหญ่เกิดขึ้นจาก “ความไม่สมดุล” โดยเฉพาะ “ความไม่สมดุลในการบริโภค”
ดูเหมือนว่า ความเจริญเกิดขึ้นมากเท่าใด ความเสื่อมก็จะเกิดขึ้นมากไม่แพ้กัน... ทางออกง่ายๆ ทำได้จริงก็คือเราต้องคืนสมดุลให้กับธรรมชาติด้วยการบริโภคแต่พอดี ใช้ทรัพยากรตามจำเป็นและสมควร ซึ่งการปฏิบัติตนตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงก็คือทางออกที่ดีที่สุดที่จะสร้างความสมดุลให้แก่เราและโลกของเรา... มีคนไทยจำนวนไม่น้อยเลยที่เข้าใจว่าเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเรื่องของเกษตรกร คงเป็นเพราะสับสนกับเกษตรทฤษฎีใหม่ที่เป็นเพียงแนวทางหนึ่งในการประยุกต์ใช้
เศรษฐกิจพอเพียง เนื่องจากเป็นตัวอย่างที่เห็นชัดเจนเป็นรูปธรรมและเข้าใจง่าย คนจำนวนมากจึงทึกทักเอาว่าการจัดสรรที่ทำกินเพื่อให้พึ่งพาตนเองได้ของเกษตรกรคือเศรษฐกิจพอเพียง จนเข้าใจผิดว่าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองเป็นเรื่องของชาวไร่ชาวนาหรือเกษตรกรเท่านั้น... ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเพราะแม้แต่คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงสอนทรงแสดงไว้เมื่อประมาณ ๒,๖๐๐ ปีที่แล้ว พุทธศาสนิกชนจำนวนมากก็ยังไม่เข้าใจแก่นแท้ ไม่เข้าใจหัวใจของพระพุทธศาสนา..ที่จริงแล้วปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางที่ใครๆ ก็นำไปประยุกต์ใช้ นำไปปฏิบัติได้เพราะเป้าหมายสำคัญของเศรษฐกิจพอเพียงก็เพื่อการพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน
ใครต้องการความสมดุล ความยั่งยืนทางการเงินก็ต้องวางแผนการเงินตามแนวทางนี้ เพราะ “เงินก็คือทรัพยากรอย่างหนึ่ง” ที่เราต้องจัดสรรให้เพียงพอสำหรับปัจจุบันและอนาคต การวางแผนการเงินจึงเป็นเรื่องของการสร้างสมดุลทางการเงิน เพื่อให้มีเงินสำหรับใช้จ่ายได้ทั้งในวันนี้และในวันหน้า การวางแผนการเงินเป็นไปเพื่อการสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน เพื่อเป้าหมายในระยะยาว เพื่อการเกษียณอย่างมั่นคง... การไม่วางแผนการเงินอาจทำให้เรามีเงิน มีความสุขกับการใช้จ่ายในปัจจุบัน
จนขาดความสมดุลและละเลยความยั่งยืน
การวางแผนการเงินเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินอย่างครบวงจรตลอดช่วงชีวิตของเรา การวางแผนการเงินจะสร้างสมดุลทางการเงินให้เราทั้งในปัจจุบันและในอนาคต... ใครที่วางแผนการเงินอย่างรอบคอบจึงถือเป็นผู้ที่รู้จักประยุกต์ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอย่างชาญฉลาด เพราะการวางแผนการเงินทำให้เรารู้จักประมาณตนเอง เข้าใจสถานการณ์ทางการเงินของตนเอง จึงไม่หลงไปตามกระแสบริโภคนิยม วัตถุนิยม ไม่บริโภคเกินกำลัง เห็นช้างขี้ก็ไม่อยากขี้ตามช้าง...
การวางแผนการเงินจะทำให้เรามองปัจจุบันและอนาคตอย่างมีเหตุมีผล เราจึงต้องจัดสรรทรัพยากรทางการเงินอย่างรอบคอบ ความสมดุลในการบริโภค ความสมดุลทางการเงิน และความสมดุลในการใช้ชีวิตก็จะเกิดขึ้น... การใช้เงินปัจจุบันเพื่อสนองตัณหาก็จะน้อยลง การทานอาหารหรูหราราคาแพงตามใจปากเพื่อความเอร็ดอร่อยโดยไม่ยับยั้งชั่งใจ ไม่สนใจน้ำตาลหรือไขมันก็จะลดลง การกู้เงินเพื่อซื้อหาข้าวของราคาแพงเกินกำลังก็จะลดลง การดึงเงินในอนาคตมาใช้ก็จะลดลง เพราะความมีเหตุ
มีผลจะทำให้เราให้ความสำคัญกับความมั่งคั่งมั่นคงในระยะยาวมากกว่าสีสันที่ฉาบฉวยในระยะสั้น เราจะเข้าใจความสำคัญของการออมเงินและหาความรู้เกี่ยวกับ การออม การลงทุนอย่างรอบคอบ รู้จักสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างระมัดระวังเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินที่แข็งแกร่งสำหรับตัวเอง และเราก็จะเข้าใจว่าการบริโภคโดยไม่เบียดเบียนตัวเองไม่เบียดเบียนส่วนรวมและสิ่งแวดล้อม การบริโภคอย่างเอื้อเฝื้อซึ่งกันและกันจะช่วยสร้างสมดุลให้เราได้อย่างแท้จริง
ลองพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสุขภาพของตัวเองดูบ้าง พิจารณาโลกที่กำลังร้อนขึ้น ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงและเกิดบ่อยขึ้น ทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกใช้ ถูกทำลายรวดเร็วขึ้น... เราก็จะได้คำตอบที่ชัดเจนว่าการวางแผนการเงิน การบริโภคและการใช้ชีวิตตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงเท่านั้นที่จะช่วยกอบกู้วิกฤตความไม่สมดุลบนโลกใบนี้ได้...
ดาวน์โหลดบทความ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น