แจ้งเพื่อทราบว่าบล็อกเกอร์นี้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการเรียนการสอนรายวิชาอินเตอร์เน็ตในชีวิตประจำวัน นิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ขอขอบคุณที่เข้ามาเยียมชม
ชอบๆๆๆ
วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555
เศรษฐกิจพอเพียงกับการวางแผนการเงิน
เศรษฐกิจพอเพียงกับการวางแผนการเงิน
จากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันอาทิตย์ที่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
อัจฉรา โยมสินธุ์ atchara.y@bu.ac.th
มีข้อมูลจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และการศึกษาเรื่องการขยายตัวของความเจ็บป่วยโดยคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเปิดเผยว่า เมื่อเทียบกับในอดีตคนไทยเป็นโรคเบาหวานเพิ่มขึ้น เป็นโรคความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้น มีไขมัน มีน้ำตาล มีโคเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น เป็นโรคเรื้อรังเพิ่มขึ้น มีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์ปกติมากขึ้น เป็นโรคอ้วนมากขึ้น ส่วนข้อมูลจาก Living Planet Report ๒๐๑๐ ก็รายงานว่าโลกของเราสุขภาพย่ำแย่ลงอย่างรวดเร็วทุกปี ดรรชนีความสมบูรณ์ตามธรรมชาติของโลกลดลงอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันความต้องการบริโภคของมุนษย์มีมากเกินกว่า
ปริมาณทรัพยากรของโลกไปแล้ว... และมีการคาดการณ์ว่าในปี ๒๐๓๐ และ ๒๐๕๐ การบริโภคจะเพิ่มขึ้นเป็น ๒ และ ๒.๘ เท่า เราจึงต้องมีโลก ๒ – ๓ ใบจึงจะมีทรัพยากรเพียงพอสำหรับความต้องการบริโภค!!!
เพราะคนจำนวนมากทั่วโลกพ่ายแพ้ต่อกิเลสตัณหาจึงบริโภคเกินความจำเป็น จนเป็นเหตุให้มีสารพัดโรคเรื้อรังรุมเร้ามีข้าวของรกรุงรัง กระทั่งมีหนี้สินล้นพ้นตัว เพราะเกษตรกรส่วนใหญ่ต้องการผลผลิตเยอะๆ จึงใช้ปุ๋ยใช้สารเร่งโตเร่งสีเร่งดอกเร่งผล จนเป็นเหตุให้ดินเสื่อมโทรม ร่างกายทรุดโทรม เพราะนายทุนส่วนใหญ่ต้องการผลประโยชน์มากๆ จึงทำเรื่องไม่เหมาะไม่ควรทั้งรุกล้ำทำลายป่า ติดสินบนเจ้าหน้าที่ จนเป็นเหตุให้ป่าไม้ถูกทำลายอย่างรวดเร็ว เพราะผู้บริหารในหลายประเทศต้องการเร่งสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ จึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านอื่นๆ น้อยกว่าที่ควรจนเป็นเหตุให้เกิดการ
พัฒนาที่ไม่สมดุล... ปัญหาที่เกิดขึ้นบนโลกส่วนใหญ่เกิดขึ้นจาก “ความไม่สมดุล” โดยเฉพาะ “ความไม่สมดุลในการบริโภค”
ดูเหมือนว่า ความเจริญเกิดขึ้นมากเท่าใด ความเสื่อมก็จะเกิดขึ้นมากไม่แพ้กัน... ทางออกง่ายๆ ทำได้จริงก็คือเราต้องคืนสมดุลให้กับธรรมชาติด้วยการบริโภคแต่พอดี ใช้ทรัพยากรตามจำเป็นและสมควร ซึ่งการปฏิบัติตนตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงก็คือทางออกที่ดีที่สุดที่จะสร้างความสมดุลให้แก่เราและโลกของเรา... มีคนไทยจำนวนไม่น้อยเลยที่เข้าใจว่าเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเรื่องของเกษตรกร คงเป็นเพราะสับสนกับเกษตรทฤษฎีใหม่ที่เป็นเพียงแนวทางหนึ่งในการประยุกต์ใช้
เศรษฐกิจพอเพียง เนื่องจากเป็นตัวอย่างที่เห็นชัดเจนเป็นรูปธรรมและเข้าใจง่าย คนจำนวนมากจึงทึกทักเอาว่าการจัดสรรที่ทำกินเพื่อให้พึ่งพาตนเองได้ของเกษตรกรคือเศรษฐกิจพอเพียง จนเข้าใจผิดว่าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองเป็นเรื่องของชาวไร่ชาวนาหรือเกษตรกรเท่านั้น... ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเพราะแม้แต่คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงสอนทรงแสดงไว้เมื่อประมาณ ๒,๖๐๐ ปีที่แล้ว พุทธศาสนิกชนจำนวนมากก็ยังไม่เข้าใจแก่นแท้ ไม่เข้าใจหัวใจของพระพุทธศาสนา..ที่จริงแล้วปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางที่ใครๆ ก็นำไปประยุกต์ใช้ นำไปปฏิบัติได้เพราะเป้าหมายสำคัญของเศรษฐกิจพอเพียงก็เพื่อการพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน
ใครต้องการความสมดุล ความยั่งยืนทางการเงินก็ต้องวางแผนการเงินตามแนวทางนี้ เพราะ “เงินก็คือทรัพยากรอย่างหนึ่ง” ที่เราต้องจัดสรรให้เพียงพอสำหรับปัจจุบันและอนาคต การวางแผนการเงินจึงเป็นเรื่องของการสร้างสมดุลทางการเงิน เพื่อให้มีเงินสำหรับใช้จ่ายได้ทั้งในวันนี้และในวันหน้า การวางแผนการเงินเป็นไปเพื่อการสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน เพื่อเป้าหมายในระยะยาว เพื่อการเกษียณอย่างมั่นคง... การไม่วางแผนการเงินอาจทำให้เรามีเงิน มีความสุขกับการใช้จ่ายในปัจจุบัน
จนขาดความสมดุลและละเลยความยั่งยืน
การวางแผนการเงินเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินอย่างครบวงจรตลอดช่วงชีวิตของเรา การวางแผนการเงินจะสร้างสมดุลทางการเงินให้เราทั้งในปัจจุบันและในอนาคต... ใครที่วางแผนการเงินอย่างรอบคอบจึงถือเป็นผู้ที่รู้จักประยุกต์ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอย่างชาญฉลาด เพราะการวางแผนการเงินทำให้เรารู้จักประมาณตนเอง เข้าใจสถานการณ์ทางการเงินของตนเอง จึงไม่หลงไปตามกระแสบริโภคนิยม วัตถุนิยม ไม่บริโภคเกินกำลัง เห็นช้างขี้ก็ไม่อยากขี้ตามช้าง...
การวางแผนการเงินจะทำให้เรามองปัจจุบันและอนาคตอย่างมีเหตุมีผล เราจึงต้องจัดสรรทรัพยากรทางการเงินอย่างรอบคอบ ความสมดุลในการบริโภค ความสมดุลทางการเงิน และความสมดุลในการใช้ชีวิตก็จะเกิดขึ้น... การใช้เงินปัจจุบันเพื่อสนองตัณหาก็จะน้อยลง การทานอาหารหรูหราราคาแพงตามใจปากเพื่อความเอร็ดอร่อยโดยไม่ยับยั้งชั่งใจ ไม่สนใจน้ำตาลหรือไขมันก็จะลดลง การกู้เงินเพื่อซื้อหาข้าวของราคาแพงเกินกำลังก็จะลดลง การดึงเงินในอนาคตมาใช้ก็จะลดลง เพราะความมีเหตุ
มีผลจะทำให้เราให้ความสำคัญกับความมั่งคั่งมั่นคงในระยะยาวมากกว่าสีสันที่ฉาบฉวยในระยะสั้น เราจะเข้าใจความสำคัญของการออมเงินและหาความรู้เกี่ยวกับ การออม การลงทุนอย่างรอบคอบ รู้จักสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างระมัดระวังเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินที่แข็งแกร่งสำหรับตัวเอง และเราก็จะเข้าใจว่าการบริโภคโดยไม่เบียดเบียนตัวเองไม่เบียดเบียนส่วนรวมและสิ่งแวดล้อม การบริโภคอย่างเอื้อเฝื้อซึ่งกันและกันจะช่วยสร้างสมดุลให้เราได้อย่างแท้จริง
ลองพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสุขภาพของตัวเองดูบ้าง พิจารณาโลกที่กำลังร้อนขึ้น ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงและเกิดบ่อยขึ้น ทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกใช้ ถูกทำลายรวดเร็วขึ้น... เราก็จะได้คำตอบที่ชัดเจนว่าการวางแผนการเงิน การบริโภคและการใช้ชีวิตตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงเท่านั้นที่จะช่วยกอบกู้วิกฤตความไม่สมดุลบนโลกใบนี้ได้...
ดาวน์โหลดบทความ
เศรษฐกิจพอเพียง กับการแก้ไขปัญหาการเงินนอกระบบ
เศรษฐกิจพอเพียง กับการแก้ไขปัญหาการเงินนอกระบบ
จากสภาวะเศรษฐกิจในยุคปัจจุบัน ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนส่วนมากที่มีรายได้น้อย ปัญหาที่สำคัญที่สุดคือ รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่ายในชีวิตประจำวัน ทำให้ต้องแสวงหาเงินหรือทรัพย์สินอื่นเพิ่มเติม โดยการประกอบอาชีพเสริม โดยเฉพาะการนำเงินไปลงทุนประกอบธุรกิจแบบแชร์ลูกโซ่โดยโฆษณาชักชวนว่า เมื่อนำเงินมาลงทุนกับบริษัทแล้วจะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนสูงภายในระยะเวลาอันสั้น ทำให้ประชาชนส่วนมากยอมที่จะนำเงินที่ตนเก็บสะสมมาทั้งชีวิตไปลงทุนกับบริษัทเหล่านั้น ด้วยหวังเพียงว่าจะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนที่สูงดีกว่าการเก็บเงินนั้นไว้โดยไม่ทำอะไรเลย หรือ นำเงินฝากธนาคาร การกู้ยืมเงินจากแหล่งเงินกู้นอกระบบที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ล้วนถือเป็นการเงินนอกระบบทั้งสิ้น
ปัจจัยต่างๆ ตามที่ได้กล่าวมา ก่อให้เกิดปัญหาตามมาอีกมากมาย อาทิ การถูกหลอกลวงจากการนำเงินไปลงทุนประกอบธุรกิจแบบแชร์ลูกโซ่ ปัญหาจากการถูกทวงหนี้ที่มีการข่มขู่ หรือการทำร้ายร่างกาย ทำให้ได้รับความเสียหาย ซึ่งปัญหาต่างๆ เหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นหากเราดำรงชีวิตอยู่อย่างพอเพียง ดังนั้น จึงขอนำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตให้แก่พสกนิกรชาวไทย มาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาการเงินนอกระบบ และอาจนำไปใช้เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและอาชญากรรมต่างๆ ของประเทศได้เป็นอย่างดี
เศรษฐกิจพอเพียง 1) เป็นปรัชญาที่ชี้แนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระราชดำรัสแก่พสกนิกรชาวไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 และตรัสอย่างชัดเจนในวันที่ 4 ธันวาคม 2540 (ภายหลังวิกฤติเศรษฐกิจ พ.ศ. 2540) เพื่อเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทย ให้ดำรงอยู่อย่างมั่นคงและยั่งยืนในกระแสโลกาภิวัฒน์และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในทางการเมืองของไทย เศรษฐกิจพอเพียงจึงมีบทบาทสำคัญในด้านอุดมคติ โดยเฉพาะอุดมการณ์กษัตริย์นิยมในสังคมไทย ในฐานะ “กษัตริย์นักพัฒนา” ซึ่งส่งผลต่อการเติบโตของอุดมการณ์เศรษฐกิจพอเพียง สิ่งเหล่านี้ถูกตอกย้ำและผลิตซ้ำโดยสถาบันทางสังคมต่างๆ เช่น สถาบันการศึกษา หน่วยงานราชการ สื่อมวลชน ส่งผลให้เศรษฐกิจพอเพียงมีบทบาทต่อการกำหนดอุดมการณ์การพัฒนาของประเทศ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้พัฒนาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อที่จะให้พสกนิกรชาวไทยได้เข้าถึงทางสายกลางของชีวิตและเพื่อคงไว้ซึ่งทฤษฎีของการพัฒนาที่ยั่งยืน ทฤษฏีนี้เป็นพื้นฐานของการดำรงชีวิตซึ่งอยู่ระหว่างสังคมระดับท้องถิ่นและตลาดระดับสากล จุดเด่นของแนวทางปรัชญานี้คือ แนวทางที่สมดุล โดยชาติสามารถทันสมัย และก้าวสู่ความเป็นสากลได้โดยปราศจากการต่อต้านกระแสโลกาภิวัตน์
เศรษฐกิจพอเพียงสามารถที่จะคงไว้ซึ่งขนาดของประชากรที่ได้สัดส่วน ใช้เทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม รักษาสมดุลของระบบนิเวศ และปราศจากการแทรกแซงจากปัจจัยภายนอก ปัจจุบันปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงได้มีการนำไปใช้เป็นนโยบายรัฐบาล และปรากฏในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
ระบบเศรษฐกิจพอเพียง มุ่งเน้นให้บุคคลสามารถประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน และใช้จ่ายเงินให้ได้มาอย่างพอเพียงและประหยัด ตามกำลังของเงินของบุคคลนั้น โดยปราศจากการกู้หนี้ยืมสิน และถ้ามีเงินเหลือก็แบ่งเก็บออมไว้บางส่วน ช่วยเหลือผู้อื่นบางส่วน และอาจจะใช้จ่ายมาเพื่อปัจจัยเสริมอีกบางส่วน สาเหตุที่แนวทางการดำรงชีวิตอย่างพอเพียง ได้ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในขณะนี้ เพราะสภาพการดำรงชีวิตของสังคมทุนนิยมในปัจจุบันได้ถูกปลูกฝัง สร้าง หรือกระตุ้น ให้เกิดการใช้จ่ายอย่างเกินตัว ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินกว่าปัจจัยในการดำรงชีวิต เช่น การบริโภคเกินตัว ความบันเทิงหลากหลายรูปแบบ ความสวยความงาม การแต่งตัวตามแฟชั่น การพนัน หรือเสี่ยงโชค เป็นต้น จนทำให้ไม่มีเงินเพียงพอเพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านั้น ส่งผลให้เกิดการกู้หนี้ยืมสิน เกิดเป็นวัฏจักรที่บุคคลหนึ่งไม่สามารถหลุดออกมาได้ ถ้าไม่เปลี่ยนแนวทางในการดำรงชีวิต
เศรษฐกิจพอเพียงสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติตนได้ในทุกระดับ โดยเน้นการปฏิบัติบนทางสายกลาง และการพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน ซึ่งประกอบด้วย
1) ความพอประมาณ สอนให้ทุกคนรู้จักความพอดี หากมีเงินน้อยก็ใช้จ่ายอย่างพอประมาณสมฐานะ เพื่อเป็นการไม่สร้างความเดือดร้อนทางด้านการเงินให้กับตนเอง และครอบครัว ซึ่งทำให้สามารถควบคุมการใช้จ่ายได้ และไม่นำไปสู่ทางออกในการกู้ยืมเงินนอกระบบ และปัญหาอื่นๆ อันอาจตามมาภายหลัง
2) ความมีเหตุผล คิดและตัดสนใจเรื่องต่างๆ ในการดำรงชีวิต โดยมีเหตุประกอบการตัดสินใจ พร้อมคำนึงถึงผลที่จะได้รับจากการได้ลงมือกระทำนั้น ยกตัวอย่างเช่นเมื่อมีผู้มาชักชวนให้สมัครเป็นสมาชิก หรือร่วมลงทุนในกิจการใด ต้องพิจาณาถึงความน่าเชื่อถือของผู้ประกอบกิจการนั้น และความเป็นไปได้ของคำชักชวน อาทิ เรื่องผลตอบแทนจากการลงทุนว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่ธุรกิจที่กล่าวอ้างจะสามารถจ่ายผลตอบแทนได้ตามที่กล่าวอ้าง เป็นต้น ไม่ตัดสินใจเพียงเพราะเห็นแก่ประโยชน์ที่อ้างว่าจะได้รับในอนาคต ซึ่งจะทำให้ไม่ตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพ หรือผู้ประกอบการที่กระทำไม่ชอบด้วยกฎหมาย
3) การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว สร้างความพร้อมเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต เช่น เมื่อมีการกู้ยืมเงินนอกระบบ หรือได้เข้าเป็นสมาชิกในธุรกิจอันอาจมีลักษณะเป็นแชร์ลูกโซ่ หรือการเข้าร่วมเล่นในวงแชร์ ต้องเก็บเอกสารและหลักฐานที่เกี่ยวข้องทุกชนิดไว้ เพื่อประโยชน์การอ้างเป็นพยานหลักฐาน หากเกิดกรณีปัญหาในการทวงหนี้ การประกอบธุรกิจ หรือการจ่ายและรับเงินในวงแชร์ แล้วแต่กรณี ทางการจะสามารถใช้หลักฐานเหล่านั้นเอาผิดกับผู้ที่ได้กระทำผิดกฎหมาย และได้รับการชดใช้ในความเสียหายที่เกิดขึ้นแต่การนั้นได้
4) ความรู้ จำเป็นต้องมีความรอบรู้ทางวิชาการอย่างรอบด้านในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกรณีที่ต้องตัดสินใจ ก่อนการกู้ยืมเงิน หรือเข้าร่วมเป็นสมาชิกในการประกอบธุรกิจ หรือการร่วมเป็นสมาชิกในวงแชร์ ต้องศึกษาหาข้อมูลประกอบ อาทิ ศึกษาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งหน่วยงานที่รับผิดชอบในการควบคุมดูแล เพื่อการขอรับคำแนะนำ การตรวจสอบข้อมูลและพฤติการณ์ต่างๆ ทำให้รู้เท่าทันการหลอกลวงในรูปแบบต่างๆ เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
5) คุณธรรม ต้องยึดธรรมในการดำรงชีวิต เช่น มีความชื่อสัตย์สุจริต ความเพียร ตั้งมั่นอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลาง และตระหนักถึงสภาวการณ์ในโลกปัจจุบัน หากมีผู้มาชักชวนให้เข้าร่วมประกอบการอย่างใดๆ โดยอ้างผลตอบแทนที่สูงเกินความเป็นจริง คำนึงถึงความเป็นไปได้ ทั้งการพึ่งพาตนเองเป็นสำคัญ ไม่ปล่อยให้ความโลภเข้าครอบงำจิตใจอันอาจทำให้เกิดการตัดสินที่ไม่รอบคอบ และไม่ได้ใช้ความระมัดระวังเท่าที่ควร ดังนั้นการไม่ยึดติดกับสิ่งที่จะได้รับตอบแทนอันไม่เป็นจริง ทำให้ไม่หลงกลผู้มีเจตนาหลอกลวง ซึ่งเป็นผู้กระทำผิดตามกฎหมาย
ผู้เขียนและคณะจึงขอฝากข้อคิดดีๆ ของหมื่นตาที่ว่า “โลกทั้งใบไม่เพียงพอกับคนโลภเพียงคนเดียว” ใช้ “ความพอเพียง” หยุดความอยาก ความต้องการ ของตัวเองให้ได้ ไม่เช่นนั้นปัญหาต่างๆ ในสังคมก็จะเกิดต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
http://www.1359.in.th/fincrime2004/index.php?option=com_content&task=view&id=2158&Itemid=72
ตอน เศรษฐกิจพอเพียงกับการบริหารเงิน
ตอน เศรษฐกิจพอเพียงกับการบริหารเงิน
พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙
เมื่อวันอังคารที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐
ณ. พระราชวังสวนจิตรลดา
“...ฉะนั้นก็ต้องคิดดีๆว่าที่ได้ทำโครงการนั้น ก็มีจุดประสงค์ที่จะให้มีรายได้...
...ทำโครงการนี้อะไรก็ตามจะต้องมีเหตุผล ก็ต้องบริหารงานการให้ดีทุกอย่าง บริหารโครงการ บริหารกิจการต่างๆ บริหารเงิน ทุกอย่างจะต้องบริหารให้ดี ฉะนั้นถ้าไม่บริหาร ก็ล่มจม...
...ก็ขอให้คิดว่าทำอะไรต้องประหยัด คนก็ว่า ประหยัดดีกว่าไม่มีเลย...
...พอเพียง คือ อะไรไม่ใช่ว่าให้ทำกำไรเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเอง ทำกำไรก็ทำ ถ้าเราทำกำไรได้ดีมันก็ดี แต่ว่าขอให้มันพอเพียง ถ้าท่านเอากำไรหน้าเลือดมากเกินไป มันไม่ใช่พอเพียง...
...พอเพียง ถ้ามีเงินก็ต้องใช้ไม่ใช่ขี้เหนียวซื้อไปเถอะ แต่ถ้าไม่มีเงินก็ระงับหน่อย ถ้าไม่มีเงินแล้วจ่ายจะอันตราย...อย่างสมัยนี้ คนไม่มีเงิน ให้ใช้เงิน ใช้เงินมากๆ เพราะว่าถ้าคนไม่มีเงิน ใช้เงินมากๆก็ต้องไปกู้ คนที่มีเงินมากๆก็ได้กำไรไม่พอเพียง...”[2]
๑. ความเป็นมาและปัญหาสาเหตุ ๑.๑ ความเป็นมา การเป็นผู้ประกอบการธุรกิจSMEs ในบ้านเรา ที่จะให้ประสบความสำเร็จต้องขอบอกว่าเป็นเรื่องที่ยากเย็นมากๆ ด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น ไม่มีโรงเรียนสอนการเป็นผู้ประกอบ การธุรกิจ ที่สอนให้นักเรียนนักศึกษาออกมาเป็นผู้ประกอบการ โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยสอนคนออกมาเพื่อรับราชการทำงานเป็นลูกจ้างบริษัทเอกชน กว่าจะคิดที่เป็นผู้ประกอบการธุรกิจได้ชีวิตก็ผ่านเลยไปครึ่งชีวิต การเริ่มต้นจึงดูเหมือนว่าจะช้าไปที่จะทำให้ธุรกิจที่ทำเป็นเรื่องเป็นราวพัฒนาให้ได้ดี ในครึ่งหลังของชีวิต ที่มาของผู้ประกอบการธุรกิจSMEsอีกส่วนหนึ่ง คือ กลุ่มที่ไม่ได้เรียนหนังสือหรือรับช่วงต่อจากกิจการของครอบครัว เข้าไปทำงานอยู่ในภาคการผลิต การค้าหรือบริการ ใช้วิธีครูพักลักจำหรือการลองผิดลองถูกไปเลยๆ คนกลุ่มนี้กว่าจะประสบความสำเร็จจะพอๆกับกลุ่มแรก คือผ่านไปแล้วครึ่งชีวิต มีผู้สำรวจผู้ประกอบการSMEsหน้าใหม่ในบ้านเรา ๑๐๐ราย จะสามารถอยู่รอดปลอดภัยในธุรกิจหลังจากทำมาแล้ว ๓ปีเพียง ๕๐เปอร์เซนต์และสามารถขยับขยาย ตัวเองให้เป็นขนาดกลางขนาดใหญ่ในระยะเวลา ๑๐ปีเหลือเพียง ๒-๓ รายเท่านั้น เราจะเห็นได้ว่าผู้ประกอบการธุรกิจSMEsมีปัญหามากมายที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรค์กว่าจะที่ประสบความสำเร็จ ๑.๒ ลักษณะและข้อจำกัดโดยทั่วไปของธุรกิจSMEsไทย สามารถแยกเป็นด้านๆได้ดังนี้ (๑) ด้านการตลาด สามารถผลิตสินค้าตอบสนองความต้องการตลาดในท้องถิ่นหรือภายใน ประเทศ แต่ขาดความรู้ความสามารถการตลาดต่างประเทศ การถูกธุรกิจขนาดใหญ่และสินค้าจากต่างประเทศเข้ามารุกรานถึงท้องถิ่น สามารถในการแข่งขันด้านราคาต่ำ (๒) ด้านแรงงาน แรงงานมีการเข้าออกสูง เมื่อมีฝีมือมีความสามารถความชำนาญจะย้ายไปทำงานในโรงงานขนาดใหญ่มีผลตอบแทนดีกว่า จึงทำให้คุณภาพของแรงงานไม่สม่ำเสมอ การพัฒนาไม่ต่อเนื่องส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพสินค้า (๓) ด้านเทคโนโลยีการผลิต SMEsใช้เทคนิคการผลิตไม่ซับซ้อน เนื่องจากการลงทุนต่ำและผู้ประกอบการ ลูกจ้างขาดความรู้ที่รองรับเทคนิคที่ทันสมัยจึงทำให้ขาดการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ตลอดจนการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานที่ดี (๔) ด้านการจัดการ การขาดความรู้ในการบริหารจัดการที่มีระบบ ใช้ประสบการณ์จากการเรียนรู้จากการทำงาน บริหารโดยอาศัยบุคคลในครอบครัวญาติมาช่วยงาน แม้จะมีข้อดีในเรื่องการดูแลที่ทั่วถึง แต่เมื่อกิจการขยายตัวหากไม่ปรับปรุงการบริหารจัดการก็จะเกิดปัญหาขึ้นได้ (๕) การเข้าถึงบริการของรัฐ SMEsเป็นการจัดตั้งกิจการที่มีรูปแบบไม่เป็นทางการ ไม่มีการจดทะเบียน เป็นการปิดกั้นตัวเองในการเข้ามาใช้บริการของรัฐ เนื่องจากปฏิบัติไม่ถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับของรัฐ ข้อจำกัดในการรับรู้ข่าวสารข้อมูลของรัฐและการตลาดเป็นต้น ๑.๓ ปัญหาและอุปสรรคด้านการเงินของ SMEs จากการสำรวจสอบถามข้อมูลจากผู้ประกอบการSMEs ที่เป็นหนี้เสียกับสถาบันการเงิน(NPL)พบว่า ผู้ประกอบการSMEsที่มีปัญหาทางการเงินนั้นมีองค์ประกอบของปัญหาดังต่อไปนี้ (๑) แหล่งเงินทุน ลักษณะทั่วไปของSMEsมีเงินลงทุนน้อยเงินทุนส่วนใหญ่เกิดจากการสะสมเก็บออมของตนเอง การได้รับอุปการะจากพ่อแม่ญาติพี่น้อง เมื่อต้องการขยายกิจการหรือเพิ่มเงิน ทุนหมุนเวียน จึงต้องอาศัยเงินทุนจากสถาบันการเงิน มักประสบปัญหาการไม่ได้การพิจารณาเนื่องจากไม่มีการจัดทำบัญชี ขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน ทำให้ต้องพึ่งพาเงินกู้นอกระบบและต้องจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่สูง ซึ่งจะเป็นปัญหาเรื่องต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น (๒) การบริหารเงิน - วินัยทางการเงิน เป็นเรื่องของการใช้เงินไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ ตัวอย่างเช่นได้เงินกู้ยืมมาลงทุนแต่นำเงินไปใช้จ่ายลงทุนด้านอื่นหรือกิจส่วนตัว การลงทุนบางรายการสูงกว่าที่กำหนดไว้ เช่น การก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ขึ้น การซื้อเครื่องจักรเกินความต้องการมากๆ ถึงกำหนดการชำระหนี้แต่กลับนำเงินไปลงทุนเพิ่มหรือไปใช้จ่ายด้านอื่น และคิดว่าจะหาเงินมาชำระได้ทัน - ปัญหาการบริหารกระแสเงินสด ปัญหาเงินขาดมือ เงินไม่พอจ่ายค่าสินค้าค่าวัตถุดิบ เนื่องจากSMEsใช้วิธีการประมาณการเงินสดจากเงินในกระเป๋าหรือเงินในบัญชีธนาคารในแต่ละเดือน ขาดการบริหารเงินเข้าออกของกิจการ(การจดบันทึกกระแสเงินสดจากการขายสินค้าและเงินจ่ายซื้อวัตถุดิบไม่พอดีสมดุลกันหรือการคำนวณน่าจะมีเงินสดคงเหลือมากกว่า) เมื่อเงินสดขาดมือก็จะใช้วิธีหยิบยืมระยะสั้นโดยการแลกเช็ค ซึ่งเป็นที่มาของต้นทุนการผลิตที่สูง - ปัญหาเรื่องรายรับ-รายจ่าย เป็นการบริหารการซื้อการขายที่ส่งผลกระทบมายังการบริหารเงินเช่น การขายเงินสดน้อยขายเงินเชื่อมาก ทำให้ครั้งต่อไปไม่มีเงินซื้อวัตถุดิบมาผลิตต้องหยุดกิจการชั่วคราวเงินมาเมื่อไรจึงเริ่มผลิตใหม่ได้ หรือ ตนได้รับเครดิตการค้ามา ๓๐วันแต่ให้เครดิตกับลูกค้าของตน ๔๕วัน๖๐วัน ทั้งสองกรณีจะเห็นว่าทำให้เงินสดขาดมือ ขาดเงินทุนหมุนเวียน - ปัญหาการบริหารทรัพย์สินและหนี้สิน ประการแรก ด้านทรัพย์สิน ความเหมาะสมในการถือทรัพย์สินเช่นวัตถุดิบมากเกินความจำเป็นจะใช้ สินค้าคงเหลือมากรวมทั้งไม่มีการเช็คสต๊อกสินค้า มีลูกหนี้ค้างชำระมากทั้งจำนวนรายและจำนวนเงินไม่สามารถเรียกเก็บหนี้ได้ นำเงินไปลงทุนในกิจการอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของตนเอง มีทรัพย์สินบางรายการที่ถืออยู่โดยไม่ได้ใช้ประโยชน์เช่น ถือครองทรัพย์สินประเภท ทองคำ ของสะสมพระเครื่อง หรือ ถือครองที่ดินมากเกินการความจำเป็นในการใช้ การสร้างอาคารสิ่งปลูกสร้างที่ใหญ่โตแต่ใช้พื้นที่นิดเดียว การซื้อเครื่องจักรที่มีความสามารถในการผลิตเกินการผลิตจริง ประการที่สอง ด้านหนี้สิน มีเครดิตการค้ามากไม่ยอมชำระตามเวลาที่กำหนด มีหนี้เงินกู้กับสถาบันการเงินและหนี้นอกระบบมากเกินความสามารถในการชำระหนี้ทั้งดอกเบี้ยและเงินต้น มีหนี้ค่าใช้จ่ายค้างชำระ เช่น ค่าภาษี ค่าแรงงาน ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ เราต้องยอมรับว่าปัญหาด้านการเงินของผู้ประกอบการธุรกิจSMEsเป็นปัญหาเริ่มต้นของปัญหา ด้านอื่นๆที่จะลุกลามตามมา เป็นปัญหาสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจและการดำรงอยู่ต่อไปของธุรกิจ ไม่มีปัญหาใดที่ไม่สามารถแก้ไขได้ทุกปัญหาแก้ไขได้หากเรามีสติ ๒. แนวคิดและปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง(Philosophy of the Sufficiency Economy) “เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า 25 ปี ตั้งแต่ก่อนวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ และเมื่อภายหลังได้ทรงเน้นย้ำแนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้น แนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชนจนถึงระดับรัฐ ให้ดำเนินไปใน“ทางสายกลาง”เพื่อสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ
๒.๑ ทางสายกลางหรือมัชฌิมาปฏิปทา หมายถึง ทางปฏิบัติที่ไม่สุดโต่งไปในทางอุดมการณ์ใดอุดมการณ์หนึ่งเกินไป มุ่งเน้นใช้ปัญญาในการแก้ปัญหาไม่ยืดถือหลักการอย่างงมงาย ในทางพุทธศาสนาทางสายกลาง คือ อริยมรรค มีองค์ 8 คือ ศีล สมาธิ ปัญญา การไม่ยึดถือสุดทางทั้ง 2 คือ การกระทำให้ตนเองให้ลำบากเกินไป หรือการพัวพันหลงมัวเมาในกามในความสบาย ทางสายกลาง ความพอเพียงจะต้องประกอบด้วย 3 คุณลักษณะพร้อมๆ กัน ดังนี้
(๑) ความพอประมาณ เป็นการทำอะไรแบบไม่เกินตัว ต้องมีการพึงพาตนเองก่อน ไม่ทำอะไรเกินความสามารถของตนเอง เกินสติปัญญาหรือทำในสิ่งที่เราไม่รู้ หรือยังไม่ได้เรียนรู้ (๒) มีเหตุผล การใช้หลักธรรมะ(ธรรมชาติ)มาเป็นหลักคิดในการดำเนินชีวิตการได้คิดหาหลักเหตุหลักผล การรู้ถึงรากหรือบ่อกำเนิดของปัญหา(สมุทัย) เราสามารถค้นหาปัญหา(ความทุกข์)จนพบความดับทุกข์ การเข้าใจความจริง(นิโรธ)ไปสู่การดับความเศร้า และหนทางนำไปสู่ความดับทุกข์ การใช้สติ การใช้ความคิด(มรรค)
(๓) มีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี ด้วยหลักธรรมะภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี คือ ศีล สมาธิ และปัญญา
- ศีล คือ สัมมาวาจา การพูดจาถูกต้อง สัมมากัมมันตะ การกระทำถูกต้อง สัมมาอาชีวะ การดำรงชีพถูกต้อง
- สมาธิ คือ สัมมาวายามะ ความพากเพียรถูกต้อง สัมมาสติ ความระลึกถูก สัมมาสมาธิ การตั้งใจมั่นถูกต้อง
- ปัญญา คือ สัมมาทิฏฐิ ความเข้าใจถูกต้อง สัมมาสังกัปปะ ความใฝ่ใจถูกต้อง
๒.๒ เงื่อนไข/คุณสมบัติ
(๑) กรอกความรู้ ประกอบด้วย - รอบรู้ ทำธุรกิจอะไรต้องรู้จริงรู้แจ้ง สิ่งใดไม่รู้เพียรแสวงหามั่นเพิ่มเติมความรู้ - รอบคอบ คิดให้รอบคอบการวางแผนงานแบบก้าวเดินทีละก้าว ไม่วิ่งหรือก้าวกระโดด
ตามกระแส - ระมัดระวัง โดยทุกขั้นทุกตอนมีการประชุมระดมความคิดมีการวางแผนงาน
(๒) คุณธรรม ประกอบด้วย ซื่อสัตย์สุจริต ขยันอดทน สติปัญญา และแบ่งปัน ทั้ง๔คำเป็นคำที่สื่อสารให้เราทราบแบบง่ายๆตรงไปตรงมามีความหมายในตัวของแต่ละคำ ขึ้นอยู่กับเราจะปฏิบัติได้ดีขั้นใด
๓. การนำทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงปรับใช้กับการบริหารเงิน เมื่อเราทราบแล้วว่าทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงคืออะไรเป้นอย่างไรแล้ว เราสามารถปรับให้เข้ากับการบริหารเงินได้อย่างไร
๓.๑ ทางสายกลาง ในทางปฏิบัติให้เข้ากับการบริหารเงินของธุรกิจ ก็คือ การที่ผู้ประกอบการต้องเป็นคนบริหารสติเสียก่อน เราเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “สติมาปัญญาเกิด ใช้ชีวิตอยู่บนความไม่ประมาท” ไม่ไหลไปกับอาการ โลภ โกธร หลง ที่ครอบงำจิตใจของเรา (๑) ปรัชญาการทำธุรกิจของSMES - เราทำธุรกิจต้องมีความเจริญเติบโต บนพื้นฐานของความมั่นคงทางธุรกิจและยั่งยืน ทำการลดความเสี่ยงให้น้อยที่สุดหรือไม่มีความเสี่ยงเลย คิดให้ออกว่าเราจะขยายธุรกิจอย่างไรดีตามความรู้ความสามารถ ค่อยเป็นค่อยไปไม่ต้องก้าวกระโดด ทำฐานให้แน่นเสียก่อน
- เราทำธุรกิจต้องมีกำไร กำไรไม่มากไปไม่น้อยไป เราฝากเงินกับธนาคารได้ดอกเบี้ยมาร้อยละหนึ่งบาทสองบาทต่อปี เราเอาเงินไปลงทุนทำธุรกิจได้กำไรมาปีละร้อยละห้าบาทสิบบาท เราพอใจ การทำกำไรต่างจากการเก็งกำไร การเก็งกำไรหมายถึง เรากำลังเอาธุรกิจของเราเข้าไปเสี่ยงกับสิ่งที่เราไม่สามารถคาดการณ์ได้ เสี่ยงกับความล้มเหลวล้มละลาย
- เราต้องมีสภาพคล่องทางการเงิน ตอนเริ่มต้นธุรกิจเราต้องให้เงินของเราที่เก็บหอมรอมริดมาทั้งชีวิตบวกกับเงินของผู้มีอุปการะคุณ เมื่อทำธุรกิจไปเลยเราต้องดูแลรักษาสภาพคล่องของเงินให้ดี อย่าให้ขาดมือได้ แต่ละเดือนต้องมีเงินจ่ายค่าจ้างลูกน้อง ลูกน้องจะได้มีกำลังในการทำงานมีเงินชำระค่าวัตถุดิบ คู่ค้าจะได้ส่งวัตถุดิบส่งสินค้าให้เราอย่างสม่ำเสมอ ไม่ถูกตัดน้ำตัดไฟ เป็นต้น
(๒) ความพอประมาณ ตัวอย่างเช่น ทำธุรกิจแบบพอเพียงทำกำไรได้ แต่เราต้องรู้ตัวว่าการทำกำไรนั้นๆต้องไม่มากเกินไปจนดูเหมือนเป็นการเอารัดเอาเปรียบลูกค้าหรือสังคม กำไรน้อยเกินจนไม่พอต่อต้นทุนการผลิตพอต่อค่าใช้จ่ายพอต่อการเสียภาษีเสียดอกเบี้ย ทำธุรกิจแบบพอเพียงก็กู้เงินได้ แต่เราต้องรู้ตัวว่าเมื่อได้เงินกู้มาแล้วตอนนำเงินมาลงทุนให้ถูกวัตถุประสงค์ของการขอกู้ ไม่ลงทุนเกินตัว ไม่เอาเงินกู้ไปใช้จ่ายส่วนตัว สถาบันการเงินที่อนุมัติเงินกู้ให้แก่เราได้พิจารณาคำนวณตัวเลขดีแล้วว่าจำนวนเงินลงทุนควรเป็นเท่าไรจำนวนเงินที่จะใช้ในการหมุนเวียนเท่าไร หากขายได้ตามที่ประมาณการณ์ไว้เราสามารถทำธุรกิจได้อยู่รอดได้มีเงินจ่ายดอกเบี้ยและคืนชำระเงินต้นได้
(๓) มีเหตุมีผล การใช้หลักเหตุผล การไม่โลภไปกับสิ่งยวนยั่วนที่เขานำมาหลอกล่อ ไม่เสี่ยงกับสิ่งที่ไม่มีเหตุไม่มีผลกับคำโฆษณาชวนเชื่อ ความโกธรเป็นฟืนเป็นไฟ การใช้อารมณ์เหนือเหตุผล เราตัดสินใจจะลงทุนอะไรอย่างไร ต้องไม่ใช้อารมณ์ อยู่บนหลักเหตุผล การไม่หลงมัวเมาไปกับสิ่งเร้าภายนอก คิดไตร่ ตรองให้ดีก่อนตัดสินใจ แล้วเราจะได้ชื่อว่า“เป็นคนที่กระทำอะไร ด้วยสติ ด้วยความไม่ประมาท”
(๔) มีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี ในการบริหารธุรกิจบริหารการเงินเราสามารถปรับใช้กับ ศีล สมาธิ ปัญญาได้ เช่นกัน
- มีศีล เจตนา ความตั้งใจละเว้นจากการทำในสิ่งที่ไม่ดีงาม ได้แก่ สัมมาวาจา เว้นจากการพูดไม่จริง พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ทำธุรกิจเราต้องเป็นคน การพูดจาถูกต้องไพเราะ อ่อนหวาน มีหางเสียง พูดแต่สิ่งที่ดี พูดมีหลักการมีเหตุมีผล จะเป็นคนที่ได้รับความนิยม มีคนชื่นชมชมชอบ ทำให้ขายสินค้าได้ดีได้มากได้ราคา สัมมากัมมันตะ เว้นจากการการกระทำในสิ่งไม่ถูกต้อง ไม่ขายสินค้าที่ต่ำคุณภาพ ไม่ขายสินค้าเกินราคาหรือขูดรีดประชาชน ไม่ฉวยโอกาสทำให้สินค้าขาดแคลน ขายสินค้าด้วยความเป็นธรรมเที่ยงธรรม สัมมาอาชีวะ ละเว้นจากการประกอบอาชีพที่ผิดทาง ค้าขายอาวุธ การค้าสิ่งมีชีวิต การค้าขายเนื้อสัตว์ การค้าขายน้ำเมา การค้ายาพิษ ประกอบอาชีพในทงที่ถูก การดำรงชีพถูกต้อง ทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง จิตใจเป็นสุข
- สมาธิ คือ สัมมาวายามะ มีความพากเพียรพยายามไม่ย้อท้อ มีความมุมานะ ไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งใดง่ายๆ สัมมาสติ ความระลึกถูก ให้สะอาดบริสุทธิ์ในการคิด พูด และทำ ไม่คิดถึงความสำเร็จไม่อดีต ไม่นึกถึงความล้มเหลวในอนาคต แต่คิดที่จะทำปัจจุบันให้ดีที่สุดตามความรู้ความสามารถ พูดในสิ่งที่เราคิด(ที่ดีที่มีประโยชน์) ทำในสิ่งที่เราพูด สัมมาสมาธิ การตั้งใจมั่นถูกต้อง สมาธิเป็นของจำเป็นกิจการทุกอย่าง มีใจจดจ่อกับการทำงานกับธุรกิจ
- ปัญญา คือ สัมมาทิฏฐิ ความเข้าใจถูกต้อง สัมมาสังกัปปะ ความใฝ่ใจถูกต้อง คิดหาทางออกไปจากทุกข์กฎแห่งเหตุผล การไม่ทำทุกข์ให้แก่ผู้อื่นทั้งเจตนาและไม่เจตนา หากเรามีศีลครบปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ มีสมาธิ จดจ่อในการทำงานทำธุรกิจ ปัญญามันจะเกิดในตัวของเราให้การแก้ไขปัญหาในการพัฒนาธุรกิจให้ดีขึ้น
๓.๒ เงื่อนไข/คุณสมบัติ
(๑) กรอกความรู้ ประกอบด้วย - รอบรู้ เมื่อแรกเริ่มเมื่อไม่รู้ว่าจะบริหารเงินอย่างไรก็ตามศึกษาหาความรู้เราสามารถศึกษา
ได้จากความสำเร็จของธุรกิจและศึกษาจากผู้ประกอบการที่ล้มเหลว ตั้งแต่การหาแก่นของความรู้ทำไมเราถึงเลือกทำธุรกิจนี้ด้วย เมื่อไรเรารักเราชอบเราทำมัน ในเชิงธุรกิจบอกว่าเราจะทำได้ดี เราจะตั้งใจทำเราจะเอาใจใส่ เราจะดูแล ทางการบริการเงินเราต้องศึกษารู้ว่า
· เมื่อเราขาดเงินจะหาแหล่งเงินทุนที่ไหน เราต้องเขียนโครงการขอกู้อย่างไร
· เราจะผ่อนชำระหนี้มากน้อยเพียงใด จะไม่กระทบกับสภาพคล่อง
· เราจะขายสดเท่าไรขายเชื่อเท่าไร เชื่อได้นานกี่วันจำนวนเงินเท่าไร
· เรามีวัตถดิบมากเกินความต้องการ มีสินค้าคงเลหือมากจะทำอย่างไร
· เรามีที่ดินเกินความต้องการใช้ เราจะทำอย่างไร
· มีหนี้การค้าเราต้องดูแลให้ดี ถึงเวลาชำระหนี้ต้องตรงเวลา เครดิตจะดี
· ต้องไม่ก่อหนี้นอกระบอบโดยเด็ดขาด อัตราดอกเบี้ยแพง
· มีกำไรอย่าลืมนำมาสะสมไว้ ไม่ปันผลจนหมด เวลาไม่มีเงินจะได้นำมาใช้
สิ่งเหล่านี้ผู้เป็นเจ้าของธุรกิจต้องเรียนรู้ไว้ ไม่ใช่เมื่อเกิดปัญหาจึงจะหาทางแก้ไข เรา
ต้องรอบรู้ก่อน เป้นการเพิ่มศักยภาพประสิทธิภาพในการบริหารงาน - รอบคอบ การบริหารเงินต้องมีความรอบคอบสูง ต้องมีวินัยทางการเงินสูง หย่อนยานไม่ได้ ทำธุรกิจก็กู้เงินได้ แต่เราต้องรู้จักใช้เงินในถูกวิธี ไม่ใช้เงินผิดประเภทผิดวัตถุประสงค์ แม้แต่เงินของเราเอง ใครจะมาหยิบยืมเงินที่ทำธุรกิจไม่ได้ ต้องนึกเสมอหากเราไม่ได้รับเงินกลับคืนมาทันเวลาการผลิต ใครจะเดือดร้อนบ้างทั้งลูกค้า ลูกน้อง เจ้าหนี้ ลูกหนี้ เราขายสินค้าเป็นเงินเชื่อต้องพิจารณาลูกหนี้แต่ละรายว่าจะให้เชื่อได้กี่วันซื้อเชื่อได้จำนวนเงินเท่าไร เราบริหารลูกหนี้ได้ เรามาบริหารเจ้าหนี้ต่อ เมื่อเรารู้ระยะเวลาให้ลูกหนี้เชื่อรู้จำนวนเงิน เราหาวิธีต่อรองกับเจ้าหนี้ให้ได้ระยะเวลาที่ยาวกว่าให้ลูกหนี้เจรจาให้ได้จำนวนเงินที่มากกว่าให้ลูกหนี้ หรือในทางตรงข้ามหากเราสามารถเจรจากับเจ้าหนี้ได้ก่อนและค่อยมาบริหารลูกหนี้ก่อนได้เหมือนกัน
- ระมัดระวัง ใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ที่หามาได้ด้วยความประหยัดระมัดระวังไม่สุรุ่ยสุร่าย จะซื้อสินค้ามาขายก็ต้องพิจารณาให้ดีของเสียยากเสียง่าย จะซื้อมามากน้อยเพียงใด ถ้าสินค้าตกรุ่นไม่เป็นทีต้องการของลูกค้าแล้วจะทำอย่างไรกับสินค้านั้นๆ จะกู้เงินก็ต้องระมัดระวังต้องคิดเสมอว่าเงินที่ได้มาต้องใช้ให้เกิดประโยชนืให้มากที่สุด เพราะเป็นเงินที่มีต้นทุน(ดอกเบี้ยจ่าย) แม้แต่เงินของเราก็มีต้นทุนเช่นกัน เพราะหากเราไม่เอามาลงทุนค้าขาย เอาไปฝากธนาคารเราก็ได้ดอกเบี้ย
โดยทุกขั้นทุกตอนต้องคิดต้องประชุมระดมความคิดมีการวางแผน งานทั้งการตลาด การดำเนินงาน โดยเฉพาะด้านการเงิน นึกอยู่เสมอเวลาเราติดขัดขาดเงินไม่เคยมีใครช่วยเราได้ ยกเว้นตัวเราเอง
(๒) คุณธรรม ประกอบด้วย - ซื่อสัตย์สุจริต ประพฤติตรงไปตรงมาด้วยความจริงใจ ไม่คิดคดทรยศ ไม่คดโกงและไม่หลอกลวง ความประพฤติดีงาม ประพฤติชอบด้วยความตั้งใจดี คนที่มีความซื่อสัตย์สุจริต เป็นหนี้ต้องชำระหนี้ ไม่คิดโกงเงินใคร ไม่โกงไม่หลอกลวงลูกค้า พูดความจริง
- ขยันอดทน คือ ความตั้งใจเพียรพยายามทำหน้าที่การงานอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ อดทน ความขยันต้องปฏิบัติควบคู่กับการใช้สติปัญญาแก้ ปัญหาจนเกิดผลสำเร็จ คนสู้งาน ไม่ท้อถอย กล้าเผชิญอุปสรรค อดทนหลีกเลี่ยงจากความชั่ว อดทนทำความดี อดทนรักษาใจไม่ให้เศร้าหมอง อดทนต่อความยากลำบาก อดทนต่อทุกขเวทนา อดทนต่อความเจ็บใจ อดทนต่ออำนาจกิเลส - สติปัญญา ปัญญา ความรู้ทั่วถึงเหตุถึงผล รู้อย่างชัดเจน รู้เรื่องบาปบุญคุณโทษ รู้สิ่งที่ควรทำควรเว้น ไม่ให้หลงเชื่ออย่างงมงาย ปัญญาทำให้เกิดได้มี 3 วิธี คือ โดยการสดับตรับฟังการศึกษาเล่าเรียนโดยการคิดค้นการตรึกตรอง โดยการอบรมจิตการเจริญภาวนา สติหมายถึง ความระลึก ได้มีความรอบคอบ ไม่ลืม ไม่เผลอ ไม่ประมาท - แบ่งปัน คือ การให้ การแบ่งปันสิ่งที่เรามี ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ หรือสิ่งที่เราสามารถให้แก่ผู้อื่นได้ และเป็นประโยชน์กับคนที่ได้รับ การให้นั้น หากได้มอบให้ผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนและบริสุทธิ์ใจ จะทำให้ผู้ที่มอบนั้นได้รับความสุขที่เป็นความทรงจำยาวนาน การแบ่งปันควรเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเองจากจิตสำนึก
๔. ผลที่คาดว่าจะได้รับ ผลนำไปสู่ ชีวิตความเป็นอยู่
(๑) เศรษฐกิจ มีงานทำ มีความสบายใจ มีรายได้ด้วยการพึงตนเอง การไม่เป็นหนี้ มีหนี้ก็ลดลงทุกเดือนทุกปี การได้ช่วยเหลือสังคม
(๒) สังคม การไม่ต้องเบียดเบียนซึ่งกันและกัน การพึ่งพาอาศัยกัน การมีจิตใจที่โอบอ้อม
อารีย์ การรู้จักการแบ่งปัน
(๓) สิ่งแวดล้อม การไม่ก่อมลภาวะ การลดมลภาวะ การพัฒนาให้ดีขึ้น การใช้วัสดุเหลือใช้
(๔) วัฒนธรรม การรักษา การส่งเสริม การใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ขนบธรรมเนียมประเพณี
วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ ให้สังคมดำรงคงความเป็นไทย
๒.๔ การจัดการแบบยั่งยืน
(๑) สมดุล การทำชีวิตให้สมดุล การทำงานให้สมดุล การใช้จ่ายแบบสมดุล ในการดำเนินชีวิตต้องไม่เคร่งครัด ต้องมีระเบียบแบบแผนตายตัว แต่ก็ไม่ใช่ที่ไม่มีขอบกำหนดกฎเกณฑ์ใดๆเสียเลย โดยปกติของคนการดำรงชีวิตเมื่อทำงานได้รับกำไรหรือค่าจ้างแรงงาน ต้องรู้จักแบ่งเงินเพื่อส่วนค่าใช้จ่าย ส่วนที่เก็บไว้ในยามจำเป็นหรือฉุกเฉิน
(๒) มั่นคง – ทำให้เกิดความมั่นคงในชีวิต มั่นคงทางการงาน ความมั่นคงทางการเงิน ความมั่นคงในความเป็นอยู่ของตนเอง และเผื่อแผ่ไปสู่สังคมชุมชน (๓) ยั่งยืน การเริ่มต้นที่การช่วยเหลือตนเอง การรู้จักต่อยอดธุรกิจ การสร้างความเจริญ เติบโตของในตนเองและของกลุ่มชุมชน หรือประเทศชาติ
๕. สรุป ท่านเคยทราบว่าทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงในแง่มุมอื่น แต่ผมเห็นว่าเศราฐกิจพอเพียงสามารถปรับใช้ได้กับธุรกิจทุกธุรกิจ แม้แต่ด้านการบริหารเงินเศราฐกิจก็สามารถจะปรับใช้ได้เช่นกัน
หนังสือและเอกสารอ้างอิง
http://www.doae.go.th/report/SE/html/04.htm
http://www.ismed.or.th/SME
http://th.wikipedia.org/wiki
หนังสือพิมพ์แนวหน้า ปีที่ ๒๘ ฉบับที่ ๙๗๔๗ วันพุธที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐
วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555
โครงงานเรื่อง:การดำเนินชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง
โครงงานเรื่อง:การดำเนินชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง
ชื่อโครงงาน: การดำเนินชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง
จุดประสงค์: เพื่อให้ประชาชนสามารถพึ่งตนเองได้
สาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง:สังคมศึกษา **การดำเนินชีวิตตามแนวพระราชดำริ**
ที่มาและความสำคัญของโครงงาน: เศษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาที่ชี้แนวทางการดำเนินชีวิต ที่ในหลวง มีพระราชดำรัสแก่ปวงชนชาวไทยตั้งแต่ปี พ.ศ.2517 เป็นต้นมา การแก้ไขปัญหาเศษฐกิจของประเทศไทยให้ดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืนในกระแสโลกาภิวัฒัน์และความเลี่ยนแปลงต่างๆในทางการเมืองไทยแล้วเศษฐกิจพอเพียงมีบทบาทสำคัญในการสถปนาอำนาจนำด้านอุดมการณ์ ดดยเฉพาะอย่างยิ่ง*กษัตริย์นิยม*ในสังคมไทยในฐานะ**กษัตริย์นักพัมนา** ซึ่งส่งผลต่อการเจริญเติบโตของอุดมการณ์เศษฐกิจพอเพียง สิ่งเหล่านี้ถูกตอกย้ำและผลิตซ้ำโดยสถาบันทางสังคมต่างๆ
พระราชดำรัสเรื่องเศรษกิจพอเพียง: ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงได้นำความกราบบังคมทูลขอกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัย เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ.2542ทรงกรุราปรับปรุงแก้ไขพระราชทานและทรงกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำบทความที่แก้ไขไปเผยแผ่ เพื่อเป็นแนวทางของการปฎิบัติสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการ เศษฐกิจและสังคมแห่งชาติและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนทั่วไป
เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ.2542
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงได้รับการเชิดชูอย่างสูงจาก *องค์กรสหประชาชาติ* ว่าเป็นปรัชญาที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยและนานาประเทศและสนันสนุนให้ประเทศสมาชิกยึดเป็นแนวทางการพัมนาแบบยั่งยืนดดยมีนักวิชาการแนวเศษฐศาสตร์หลายคนเห็นด้วยกับแนวทางเศษฐกิจพอเพียง
แนวคิด: เศรษฐกิจพอเพียงเชื่อว่าสามารถปรับเปลี่ยนครงสร้างทางสังคมของสัคมให้ดีขึ้นดดยมีปัจจัย 2 อย่างคือ
1. การผลิตจะต้องมีความสัมพันธ์กันระหว่าง ปริมาณผลผลิตและการบริโภค
2. ชุมชนจะต้องมีความสามารถในการจัดการทรัพยากรของตนเองผลที่ดีขึ้นคือ
-เศษฐกิจพอเพียงสามารถที่จะคงไว้ด้วยขนาดของประชากร
-ใช้เทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม
-รักษาสมดุลของระบบนิเวศและปราศจากการแทรกแซงจากปัจจัยภายนอก
หลักปรัชญาเศษฐกิจพอเพียง: ระบบเศษฐกิจพอเพียงมุ่งเน้นให้บุคคลสามารถประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืนและใช้จ่ายเงินให้ได้อย่างเพียงพอและประหยัดตามกำลังของเงินบุคคลนั้นโดยปราศจากการกู้ยืมและถ้ามีเงินเหลือก็แบ่งเก็บออมไว้ส่วนหนึ่ง ช่วยผู้อื่นบางส่วน และอาจจะใช้จ่ายมาเพื่อปัจจัยเสริมอีกบางส่วน สาเหตุที่แนวทางการดำเนินชีวิตอย่างพอเพียงได้ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขว้างในขณะนี้เพราะสภาพการดำรงชีวิตแบบสังคมทุนนิยมในปัจจุบันได้ถูกปลูกฝังหรือกระตุ้นด้วยให้เกิดการใช้จ่ายอย่างเกินตัวในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินปัจจัยในการดำเนินชีวิต เช่น การบริโภคเกินตัว การแต่งตัวตามแฟชั่น ฯลฯ เป็นต้น จนทำให้ไม่มีเงินเพียงพอเพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านั้นจึงเกิดเป็นวัฎจักรที่บุคคลหนึ่งไม่สามารถหลุดออกมาได้
สรุปผล: การดำเนินชีวิตตามแนวเศษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำรินั้นเป็นปัจจัยอีกอย่างหนึ่งที่คนไทยสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่อย่างมีความสุข มีกินมีใช้ ครอบครัวมีเงินเก็บและพึ่งตนเองตามแนวพระราชดำริที่ในหลวงทรงดำรัสไว้ เพื่อให้คนไทยพึ่งตนเองและกินใช้อย่างประหยัดเพื่อประโยชน์ของตนเอง ผู้ที่สามารถดำรงชีวิตตามแนวพระราชดำริที่ในหลวงดำรัสไว้ได้นั้นจะเป็นผู้ที่ประสบผลสำเร็จในชีวิตดำเนินชีวิตโดยไม่ลำบากชีวิตมีความสุขจากการพึ่งตนเอง
ข้อเสนอแนะ: การดำเนินชีวิตตามแนวพระราชดำรินั้นไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตนเองวันเดียวทั้งหมดแต่เราค่อยๆเริ่มเปลี่ยนไปที่ละอย่าง อย่างเช่นการเก็บออมเป็นต้น
http://khowlaamtad.blogspot.com/2009/09/blog-post.html
ชื่อโครงงาน: การดำเนินชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง
จุดประสงค์: เพื่อให้ประชาชนสามารถพึ่งตนเองได้
สาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง:สังคมศึกษา **การดำเนินชีวิตตามแนวพระราชดำริ**
ที่มาและความสำคัญของโครงงาน: เศษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาที่ชี้แนวทางการดำเนินชีวิต ที่ในหลวง มีพระราชดำรัสแก่ปวงชนชาวไทยตั้งแต่ปี พ.ศ.2517 เป็นต้นมา การแก้ไขปัญหาเศษฐกิจของประเทศไทยให้ดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืนในกระแสโลกาภิวัฒัน์และความเลี่ยนแปลงต่างๆในทางการเมืองไทยแล้วเศษฐกิจพอเพียงมีบทบาทสำคัญในการสถปนาอำนาจนำด้านอุดมการณ์ ดดยเฉพาะอย่างยิ่ง*กษัตริย์นิยม*ในสังคมไทยในฐานะ**กษัตริย์นักพัมนา** ซึ่งส่งผลต่อการเจริญเติบโตของอุดมการณ์เศษฐกิจพอเพียง สิ่งเหล่านี้ถูกตอกย้ำและผลิตซ้ำโดยสถาบันทางสังคมต่างๆ
พระราชดำรัสเรื่องเศรษกิจพอเพียง: ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงได้นำความกราบบังคมทูลขอกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัย เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ.2542ทรงกรุราปรับปรุงแก้ไขพระราชทานและทรงกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำบทความที่แก้ไขไปเผยแผ่ เพื่อเป็นแนวทางของการปฎิบัติสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการ เศษฐกิจและสังคมแห่งชาติและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนทั่วไป
เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ.2542
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงได้รับการเชิดชูอย่างสูงจาก *องค์กรสหประชาชาติ* ว่าเป็นปรัชญาที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยและนานาประเทศและสนันสนุนให้ประเทศสมาชิกยึดเป็นแนวทางการพัมนาแบบยั่งยืนดดยมีนักวิชาการแนวเศษฐศาสตร์หลายคนเห็นด้วยกับแนวทางเศษฐกิจพอเพียง
แนวคิด: เศรษฐกิจพอเพียงเชื่อว่าสามารถปรับเปลี่ยนครงสร้างทางสังคมของสัคมให้ดีขึ้นดดยมีปัจจัย 2 อย่างคือ
1. การผลิตจะต้องมีความสัมพันธ์กันระหว่าง ปริมาณผลผลิตและการบริโภค
2. ชุมชนจะต้องมีความสามารถในการจัดการทรัพยากรของตนเองผลที่ดีขึ้นคือ
-เศษฐกิจพอเพียงสามารถที่จะคงไว้ด้วยขนาดของประชากร
-ใช้เทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม
-รักษาสมดุลของระบบนิเวศและปราศจากการแทรกแซงจากปัจจัยภายนอก
หลักปรัชญาเศษฐกิจพอเพียง: ระบบเศษฐกิจพอเพียงมุ่งเน้นให้บุคคลสามารถประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืนและใช้จ่ายเงินให้ได้อย่างเพียงพอและประหยัดตามกำลังของเงินบุคคลนั้นโดยปราศจากการกู้ยืมและถ้ามีเงินเหลือก็แบ่งเก็บออมไว้ส่วนหนึ่ง ช่วยผู้อื่นบางส่วน และอาจจะใช้จ่ายมาเพื่อปัจจัยเสริมอีกบางส่วน สาเหตุที่แนวทางการดำเนินชีวิตอย่างพอเพียงได้ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขว้างในขณะนี้เพราะสภาพการดำรงชีวิตแบบสังคมทุนนิยมในปัจจุบันได้ถูกปลูกฝังหรือกระตุ้นด้วยให้เกิดการใช้จ่ายอย่างเกินตัวในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินปัจจัยในการดำเนินชีวิต เช่น การบริโภคเกินตัว การแต่งตัวตามแฟชั่น ฯลฯ เป็นต้น จนทำให้ไม่มีเงินเพียงพอเพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านั้นจึงเกิดเป็นวัฎจักรที่บุคคลหนึ่งไม่สามารถหลุดออกมาได้
สรุปผล: การดำเนินชีวิตตามแนวเศษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำรินั้นเป็นปัจจัยอีกอย่างหนึ่งที่คนไทยสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่อย่างมีความสุข มีกินมีใช้ ครอบครัวมีเงินเก็บและพึ่งตนเองตามแนวพระราชดำริที่ในหลวงทรงดำรัสไว้ เพื่อให้คนไทยพึ่งตนเองและกินใช้อย่างประหยัดเพื่อประโยชน์ของตนเอง ผู้ที่สามารถดำรงชีวิตตามแนวพระราชดำริที่ในหลวงดำรัสไว้ได้นั้นจะเป็นผู้ที่ประสบผลสำเร็จในชีวิตดำเนินชีวิตโดยไม่ลำบากชีวิตมีความสุขจากการพึ่งตนเอง
ข้อเสนอแนะ: การดำเนินชีวิตตามแนวพระราชดำรินั้นไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตนเองวันเดียวทั้งหมดแต่เราค่อยๆเริ่มเปลี่ยนไปที่ละอย่าง อย่างเช่นการเก็บออมเป็นต้น
http://khowlaamtad.blogspot.com/2009/09/blog-post.html
28 ข้อคิดในการใช้ชีวิต
28 ข้อคิดในการใช้ชีวิต
Posted by Hoopie 18 September, 2011
28 ข้อคิดในการใช้ชีวิต เป็นข้อคิดที่เก็บไว้เมื่อนานมาแล้ว แต่เมื่อเอามาอ่านอีกทีก็พบว่ายังเป็นเรื่องที่ดีมากๆที่ควรแบ่งปันให้รับรู้โดยทั่วกัน ได้มาจากฟอเวิร์ดเมล์เมื่อนานมาแล้ว ลองอ่านกันดูนะ
1.อย่าทำลายความหวังของใคร เพราะทั้งชีวิตเขาอาจเหลืออยู่แค่นั้นก็ได้
2.เมื่อมีคนเล่าว่าเขามีส่วนร่วมในเหตุการณ์สำคัญ จง เป็นผู้ฟังที่ดีอย่าไปคุยทับ อย่าไปขัดคอ
3.จงตั้งใจฟังให้ดี โอกาสทองบางทีมันก็มาถึงแบบแว่วๆเท่านั้น
4.หยุดอ่านคำอธิบายสถานที่ทางประวัติศาสตร์ตามทางบ้างเพราะมีอะไรดีๆบางอย่างซ่อนอยู่
5.จะคิดทำการใดจงคิดการให้ใหญ่เข้าไว้ แต่ให้เติมความสนุกสนานลงไปด้วยเล็กน้อย
6.หัดทำสิ่งดีๆให้กับผู้อื่นจนเป็นนิสัยโดยไม่จำเป็นต้องให้เขารับรู้
7.จงจำไว้ว่า ข่าวทุกชนิดล้วนถูกบิดเบือนมาแล้วทั้งนั้น
8.เวลาเล่นเกมกับเด็กๆก็ปล่อยให้เด็กชนะไปเถอะ
9.ใครจะวิจารณ์เรายังงัยก็ตาม อย่าเสียเวลาไปโต้ตอบ แต่ให้ปรับปรุงตนเอง
10.จงให้โอกาสผู้อื่นเป็นครั้งที่ “สอง” แต่อย่าให้ถึง “สาม”
11.อย่าให้วิจารณ์นายจ้าง ถ้าทำงานไม่มีความสุขก็ลาออกดีกว่า
12.ทำตัวให้สบาย อย่าคิดมาก ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแล้วอะไรๆ มันก็ไม่สำคัญอย่างที่คิดไว้แต่แรกหรอก
13.ใช้เวลาให้น้อยๆในการคิดว่า”ใครผิด” แต่ใช้เวลาให้มากในการคิดว่า”อะไร” เป็นสิ่งที่ผิด
14.จงจำไว้ว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับ ” คนโหดร้าย ” แต่กำลังสู้กับ ” ความโหดร้าย ” ในตัวคน
15.โปรดคิด คิด คิด และคิดให้รอบคอบ ก่อนที่จะให้เพื่อนเรามีภาระในการเก็บรักษาความลับ
16.ยอมที่จะแพ้ในสงครามย่อยๆ เมื่อการแพ้นั้นจะทำให้เราชนะในสงครามใหญ่
17.เป็นคนถ่อมตน จำไว้ว่าคนอื่นทำอะไรต่อมิอะไรสำเร็จกันมามากมายก่อนเราเกิดเสียอีก
18.ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายสักเพียงใด จงสุขุมเยือกเย็นเข้าไว้
19.มีมารยาทและอดทนกับคนที่สูงวัยกว่าเสมอ
20.อย่าให้ปัญหาของเราทำให้คนอื่นต้องเบื่อหน่าย ถ้ามีใครมาถามว่า ” เป็นไง?” ตอบไปเลยว่า ” สบายมาก”
21.อย่าพูดว่าเรามีเวลาไม่พอ เพราะทุกคนในโลกก็มีเวลาวันละ 24 ชม.เท่ากัน
22.จงเป็นคนใจกล้าและเด็ดเดี่ยว เมื่อเหลียวไปดูอดีต เราจะเสียใจในสิ่งที่ควรทำแล้วไม่ได้ทำ มากกว่าเสียใจในสิ่งที่ทำไปแล้ว
23.ประเมินตนเองด้วยมาตรฐานตนเอง ไม่ใช่มาตรฐานคนอื่น
24.จริงจัง และเคี่ยวเข็ญต่อตนเองให้มาก แต่จงอ่อนโยนและผ่อนปรนต่อผู้อื่น
25.ให้ความนับถือแก่ทุกคนที่ทำงานเพื่อเลี้ยงชีพโดยสุจริต ไม่ว่างานนั้นจะดูแย่แค่ไหนในสายตาคนรอบข้าง
26.คำนึงถึงการมีชีวิตให้ ” กว้างขวาง ” มากกว่าการมีชีวิตเพื่อ ” ยืนยาว ”
27.(บางครั้ง) อย่าไปหวังเลยว่าในชีวิตนี้จะมีความยุติธรรม
28.ว่ากันว่ามี 3 สิ่งที่ไม่ควรถูกทำให้แตกหรือทำลาย ได้แก่ ของเล่นเด็ก คำสัญญาและจิตใจของใครๆ ก็ตาม
http://happyhappiness.monkiezgrove.com/2011/09/18/28-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95/
Posted by Hoopie 18 September, 2011
28 ข้อคิดในการใช้ชีวิต เป็นข้อคิดที่เก็บไว้เมื่อนานมาแล้ว แต่เมื่อเอามาอ่านอีกทีก็พบว่ายังเป็นเรื่องที่ดีมากๆที่ควรแบ่งปันให้รับรู้โดยทั่วกัน ได้มาจากฟอเวิร์ดเมล์เมื่อนานมาแล้ว ลองอ่านกันดูนะ
1.อย่าทำลายความหวังของใคร เพราะทั้งชีวิตเขาอาจเหลืออยู่แค่นั้นก็ได้
2.เมื่อมีคนเล่าว่าเขามีส่วนร่วมในเหตุการณ์สำคัญ จง เป็นผู้ฟังที่ดีอย่าไปคุยทับ อย่าไปขัดคอ
3.จงตั้งใจฟังให้ดี โอกาสทองบางทีมันก็มาถึงแบบแว่วๆเท่านั้น
4.หยุดอ่านคำอธิบายสถานที่ทางประวัติศาสตร์ตามทางบ้างเพราะมีอะไรดีๆบางอย่างซ่อนอยู่
5.จะคิดทำการใดจงคิดการให้ใหญ่เข้าไว้ แต่ให้เติมความสนุกสนานลงไปด้วยเล็กน้อย
6.หัดทำสิ่งดีๆให้กับผู้อื่นจนเป็นนิสัยโดยไม่จำเป็นต้องให้เขารับรู้
7.จงจำไว้ว่า ข่าวทุกชนิดล้วนถูกบิดเบือนมาแล้วทั้งนั้น
8.เวลาเล่นเกมกับเด็กๆก็ปล่อยให้เด็กชนะไปเถอะ
9.ใครจะวิจารณ์เรายังงัยก็ตาม อย่าเสียเวลาไปโต้ตอบ แต่ให้ปรับปรุงตนเอง
10.จงให้โอกาสผู้อื่นเป็นครั้งที่ “สอง” แต่อย่าให้ถึง “สาม”
11.อย่าให้วิจารณ์นายจ้าง ถ้าทำงานไม่มีความสุขก็ลาออกดีกว่า
12.ทำตัวให้สบาย อย่าคิดมาก ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแล้วอะไรๆ มันก็ไม่สำคัญอย่างที่คิดไว้แต่แรกหรอก
13.ใช้เวลาให้น้อยๆในการคิดว่า”ใครผิด” แต่ใช้เวลาให้มากในการคิดว่า”อะไร” เป็นสิ่งที่ผิด
14.จงจำไว้ว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับ ” คนโหดร้าย ” แต่กำลังสู้กับ ” ความโหดร้าย ” ในตัวคน
15.โปรดคิด คิด คิด และคิดให้รอบคอบ ก่อนที่จะให้เพื่อนเรามีภาระในการเก็บรักษาความลับ
16.ยอมที่จะแพ้ในสงครามย่อยๆ เมื่อการแพ้นั้นจะทำให้เราชนะในสงครามใหญ่
17.เป็นคนถ่อมตน จำไว้ว่าคนอื่นทำอะไรต่อมิอะไรสำเร็จกันมามากมายก่อนเราเกิดเสียอีก
18.ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายสักเพียงใด จงสุขุมเยือกเย็นเข้าไว้
19.มีมารยาทและอดทนกับคนที่สูงวัยกว่าเสมอ
20.อย่าให้ปัญหาของเราทำให้คนอื่นต้องเบื่อหน่าย ถ้ามีใครมาถามว่า ” เป็นไง?” ตอบไปเลยว่า ” สบายมาก”
21.อย่าพูดว่าเรามีเวลาไม่พอ เพราะทุกคนในโลกก็มีเวลาวันละ 24 ชม.เท่ากัน
22.จงเป็นคนใจกล้าและเด็ดเดี่ยว เมื่อเหลียวไปดูอดีต เราจะเสียใจในสิ่งที่ควรทำแล้วไม่ได้ทำ มากกว่าเสียใจในสิ่งที่ทำไปแล้ว
23.ประเมินตนเองด้วยมาตรฐานตนเอง ไม่ใช่มาตรฐานคนอื่น
24.จริงจัง และเคี่ยวเข็ญต่อตนเองให้มาก แต่จงอ่อนโยนและผ่อนปรนต่อผู้อื่น
25.ให้ความนับถือแก่ทุกคนที่ทำงานเพื่อเลี้ยงชีพโดยสุจริต ไม่ว่างานนั้นจะดูแย่แค่ไหนในสายตาคนรอบข้าง
26.คำนึงถึงการมีชีวิตให้ ” กว้างขวาง ” มากกว่าการมีชีวิตเพื่อ ” ยืนยาว ”
27.(บางครั้ง) อย่าไปหวังเลยว่าในชีวิตนี้จะมีความยุติธรรม
28.ว่ากันว่ามี 3 สิ่งที่ไม่ควรถูกทำให้แตกหรือทำลาย ได้แก่ ของเล่นเด็ก คำสัญญาและจิตใจของใครๆ ก็ตาม
http://happyhappiness.monkiezgrove.com/2011/09/18/28-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95/
เรื่อง ปัญหาการใช้ภาษาไทยของครูและนักเรียน
เรื่อง ปัญหาการใช้ภาษาไทยของครูและนักเรียน
โดย นางสาวน้ำฝน ทะกลกิจ
ในวิถีแห่งเทคโนโลยีและการสื่อสารไร้พรมแดน ท่ามกลางสังคมที่มีค่านิยมยอมรับนับถือวัตถุมากกว่าคุณค่าของจิตใจนั้น หลายๆสิ่งกำลังเจริญก้าวหน้าไปอย่างไม่มีขีดจำกัด ในขณะที่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่กำลังดำดิ่งลงสู่ห้วงเหวแห่งหายนะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งก็คือ ความเป็นไทยและภาษาไทย ภาษาชาติของเรานั่นเอง ที่กำลังถูกค่านิยมของคนรุ่นใหม่รุกรานจนแทบไม่หลงเหลือเค้าเดิมอยู่เลย
ปัญหาการใช้ภาษาไทยนั้นเกิดขึ้นจากจุดเล็กๆจนในขณะนี้ลุกลามไปทุกหย่อมหญ้า แม้แต่ในสถานศึกษาอันเป็นแหล่งหล่อหลอมความรู้ก็มิได้ละเว้น ภาษาไทยกลายเป็นวิชาที่น่าเบื่อของผู้เรียน และสุดท้ายผู้เรียนจึงได้รับความรู้แบบงูๆปลาๆที่จะนำไปใช้ต่อไปอย่างผิดๆ หากเราจะแยกปมปัญหาการใช้ภาษาไทยในโรงเรียนนั้น สามารถแยกเป็นประเด็นใหญ่ๆ ได้ ๒ ประเด็น คือ
๑.ปัญหาการใช้ภาษาไทยที่เกิดจาก ครู เนื่องจากครู คือ ผู้ประสาทวิชา เป็นผู้ให้ความรู้แก่ศิษย์ ดังนั้นความรู้ในด้านต่างๆ เด็กๆจึงมักจะได้รับมาจากครูเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่ครูบางคนนั้นมีความรู้แต่ไม่แตกฉาน โดยเฉพาะวิชาภาษาไทยเป็นวิชาที่มีความละเอียดอ่อน และมีส่วนประกอบแยกย่อยอย่างละเอียดลออ เมื่อครูไม่เข้าใจภาษาไทยอย่างกระจ่าง จึงทำให้นักเรียนไม่เข้าใจตามไปด้วย จนพานเกลียดภาษาไทยไปในที่สุด ซึ่งเป็นปัญหาที่ปรากฏให้เห็นอยู่มากมายในปัจจุบัน
ความเป็นครูนั้น แน่นอนการสอนย่อมสำคัญที่สุด ครูบางคนมีความรู้อยู่ในหัวเต็มไปหมดแต่กลับสอนไม่เป็น ซึ่งครูส่วนใหญ่มิได้ยอมรับปัญหานี้ บางคนสักแต่ว่าสอน แต่ไม่เข้าใจเด็กว่าทำอย่างไร อธิบายอย่างไร เด็กซึ่งเปรียบเสมือนผ้าข้าวนั้นจะซึมซับเอาความรู้จากท่านไปได้มากที่สุด การทำความเข้าใจเด็กจึงเป็นส่วนประกอบหลักที่สำคัญไม่แพ้ภูมิความรู้ที่มีอยู่ในตัวครูเลย ครูจึงควรหันกลับมายอมรับความจริง และพยายามปรับปรุงแก้ไขตนเองให้เหมาะสมกับที่เป็นผู้รู้ที่คนทั่วไปยอมรับนับถือ
๒. ปัญหาการใช้ภาษาไทยที่เกิดจากนักเรียน ในสังคมยุคไซเบอร์ ซึ่งสามารถเข้าไปใช้บริการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ได้ทุกภาคส่วน “ เด็ก” ซึ่งเป็นวัยที่อยากรู้อยากลองจึงมิได้ให้ความสนใจเพียงแค่การศึกษาค้นคว้าข้อมูลการศึกษาเท่านั้น หากแต่สนใจกับภาคบันเทิงควบคู่ไปด้วย และโดยแท้จริงแล้ว มักจะให้ความสำคัญกับประเด็นหลังมากกว่าการค้นคว้าความรู้เสียด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงสามารถกล่าวได้ว่าการใช้อินเทอร์เน็ตของเด็กนั้นเป็นปมปัญหาสำคัญยิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
ปัญหาการใช้ภาษาไทยที่เกิดจากอินเทอร์เน็ตนั้นเริ่มลุกลามมาจากโปรแกรมแช็ทรูมและเกมออนไลน์ ซึ่งดูคล้ายเป็นการสนทนากันธรรมดา แต่เมื่อได้เข้าไปสัมผัสแล้ว มิใช่เลย การสนทนาอันไม่มีขีดจำกัดของภาษาทำให้เกิดปัญหาขึ้นมากมาย ดังเช่นที่พบตามหน้าหนังสือพิมพ์ในปัจจุบัน และในขณะเดียวกันก็สร้างปัญหาให้แก่วงการภาษาไทยด้วย นั่นคือการกร่อนคำ
และการสร้างคำใหม่ให้มีความหมายแปลกไปจากเดิม หรืออย่างที่เรียกว่าภาษาเด็กแนวนั่นเอง ดังจะขอยกตัวอย่าง ดังนี้
สวัสดี เป็น ดีครับ ดีค่ะ
ใช่ไหม เป็น ชิมิ
โทรศัพท์ เป็น ทอสับ
กิน เป็น กิง
จะเห็นได้ว่าคำเหล่านี้ถูกคิดขึ้นและใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยเหตุผล ๒ ประการ คือ เพื่อให้ดูเป็นคำที่น่ารัก และพิมพ์ง่ายขึ้น โดยที่ผู้ใช้ไม่คำนึงถึงว่า นั่น คือการทำลายภาษาไทยโดยทางอ้อม เพราะหลายๆคนนำคำเหล่านี้มาใช้ในชีวิตประจำวันเสียด้วยซ้ำ ดังจะเห็นได้ว่า เด็กบางคนนำภาษาเหล่านี้มาใช้ในโรงเรียนจนแพร่หลาย นั่นคือความมักง่ายที่นำพาความหายนะมาสู่วงการภาษาไทยที่ไม่ควรมองข้าม
ปัญหาการใช้ภาษาไทยเป็นปัญหาที่ลุกลามใหญ่โตกลายเป็นไฟลามทุ่งอยู่ทุกวันนี้ หากไม่ได้รับการแก้ไขโดยเร็ว ภาษาไทยอันถือเป็นเอกลักษณ์ของความเป็นชาติไทยนี้อาจจะบอบช้ำเสียจนเกินเยียวยา การปลูกฝังจิตสำนึกและความตระหนักแก่ทุกคนในชาติจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะทุกสิ่งที่มนุษย์ยึดถือปฏิบัติล้วนมาจากจิตสำนึกทั้งสิ้น เมื่อกระทำได้ดังนี้แล้ว ไม่ว่าวิถีชีวิตแบบไหน หรือค่านิยมสมัยใหม่ประเภทใดก็ไม่สามารถทำลายภาษาไทยของเราได้อย่างแน่นอน
http://www.pasasiam.com/home/index.php/pasasiam/private/523-2009-05-27-06-43-00
โดย นางสาวน้ำฝน ทะกลกิจ
ในวิถีแห่งเทคโนโลยีและการสื่อสารไร้พรมแดน ท่ามกลางสังคมที่มีค่านิยมยอมรับนับถือวัตถุมากกว่าคุณค่าของจิตใจนั้น หลายๆสิ่งกำลังเจริญก้าวหน้าไปอย่างไม่มีขีดจำกัด ในขณะที่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่กำลังดำดิ่งลงสู่ห้วงเหวแห่งหายนะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งก็คือ ความเป็นไทยและภาษาไทย ภาษาชาติของเรานั่นเอง ที่กำลังถูกค่านิยมของคนรุ่นใหม่รุกรานจนแทบไม่หลงเหลือเค้าเดิมอยู่เลย
ปัญหาการใช้ภาษาไทยนั้นเกิดขึ้นจากจุดเล็กๆจนในขณะนี้ลุกลามไปทุกหย่อมหญ้า แม้แต่ในสถานศึกษาอันเป็นแหล่งหล่อหลอมความรู้ก็มิได้ละเว้น ภาษาไทยกลายเป็นวิชาที่น่าเบื่อของผู้เรียน และสุดท้ายผู้เรียนจึงได้รับความรู้แบบงูๆปลาๆที่จะนำไปใช้ต่อไปอย่างผิดๆ หากเราจะแยกปมปัญหาการใช้ภาษาไทยในโรงเรียนนั้น สามารถแยกเป็นประเด็นใหญ่ๆ ได้ ๒ ประเด็น คือ
๑.ปัญหาการใช้ภาษาไทยที่เกิดจาก ครู เนื่องจากครู คือ ผู้ประสาทวิชา เป็นผู้ให้ความรู้แก่ศิษย์ ดังนั้นความรู้ในด้านต่างๆ เด็กๆจึงมักจะได้รับมาจากครูเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่ครูบางคนนั้นมีความรู้แต่ไม่แตกฉาน โดยเฉพาะวิชาภาษาไทยเป็นวิชาที่มีความละเอียดอ่อน และมีส่วนประกอบแยกย่อยอย่างละเอียดลออ เมื่อครูไม่เข้าใจภาษาไทยอย่างกระจ่าง จึงทำให้นักเรียนไม่เข้าใจตามไปด้วย จนพานเกลียดภาษาไทยไปในที่สุด ซึ่งเป็นปัญหาที่ปรากฏให้เห็นอยู่มากมายในปัจจุบัน
ความเป็นครูนั้น แน่นอนการสอนย่อมสำคัญที่สุด ครูบางคนมีความรู้อยู่ในหัวเต็มไปหมดแต่กลับสอนไม่เป็น ซึ่งครูส่วนใหญ่มิได้ยอมรับปัญหานี้ บางคนสักแต่ว่าสอน แต่ไม่เข้าใจเด็กว่าทำอย่างไร อธิบายอย่างไร เด็กซึ่งเปรียบเสมือนผ้าข้าวนั้นจะซึมซับเอาความรู้จากท่านไปได้มากที่สุด การทำความเข้าใจเด็กจึงเป็นส่วนประกอบหลักที่สำคัญไม่แพ้ภูมิความรู้ที่มีอยู่ในตัวครูเลย ครูจึงควรหันกลับมายอมรับความจริง และพยายามปรับปรุงแก้ไขตนเองให้เหมาะสมกับที่เป็นผู้รู้ที่คนทั่วไปยอมรับนับถือ
๒. ปัญหาการใช้ภาษาไทยที่เกิดจากนักเรียน ในสังคมยุคไซเบอร์ ซึ่งสามารถเข้าไปใช้บริการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ได้ทุกภาคส่วน “ เด็ก” ซึ่งเป็นวัยที่อยากรู้อยากลองจึงมิได้ให้ความสนใจเพียงแค่การศึกษาค้นคว้าข้อมูลการศึกษาเท่านั้น หากแต่สนใจกับภาคบันเทิงควบคู่ไปด้วย และโดยแท้จริงแล้ว มักจะให้ความสำคัญกับประเด็นหลังมากกว่าการค้นคว้าความรู้เสียด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงสามารถกล่าวได้ว่าการใช้อินเทอร์เน็ตของเด็กนั้นเป็นปมปัญหาสำคัญยิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
ปัญหาการใช้ภาษาไทยที่เกิดจากอินเทอร์เน็ตนั้นเริ่มลุกลามมาจากโปรแกรมแช็ทรูมและเกมออนไลน์ ซึ่งดูคล้ายเป็นการสนทนากันธรรมดา แต่เมื่อได้เข้าไปสัมผัสแล้ว มิใช่เลย การสนทนาอันไม่มีขีดจำกัดของภาษาทำให้เกิดปัญหาขึ้นมากมาย ดังเช่นที่พบตามหน้าหนังสือพิมพ์ในปัจจุบัน และในขณะเดียวกันก็สร้างปัญหาให้แก่วงการภาษาไทยด้วย นั่นคือการกร่อนคำ
และการสร้างคำใหม่ให้มีความหมายแปลกไปจากเดิม หรืออย่างที่เรียกว่าภาษาเด็กแนวนั่นเอง ดังจะขอยกตัวอย่าง ดังนี้
สวัสดี เป็น ดีครับ ดีค่ะ
ใช่ไหม เป็น ชิมิ
โทรศัพท์ เป็น ทอสับ
กิน เป็น กิง
จะเห็นได้ว่าคำเหล่านี้ถูกคิดขึ้นและใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยเหตุผล ๒ ประการ คือ เพื่อให้ดูเป็นคำที่น่ารัก และพิมพ์ง่ายขึ้น โดยที่ผู้ใช้ไม่คำนึงถึงว่า นั่น คือการทำลายภาษาไทยโดยทางอ้อม เพราะหลายๆคนนำคำเหล่านี้มาใช้ในชีวิตประจำวันเสียด้วยซ้ำ ดังจะเห็นได้ว่า เด็กบางคนนำภาษาเหล่านี้มาใช้ในโรงเรียนจนแพร่หลาย นั่นคือความมักง่ายที่นำพาความหายนะมาสู่วงการภาษาไทยที่ไม่ควรมองข้าม
ปัญหาการใช้ภาษาไทยเป็นปัญหาที่ลุกลามใหญ่โตกลายเป็นไฟลามทุ่งอยู่ทุกวันนี้ หากไม่ได้รับการแก้ไขโดยเร็ว ภาษาไทยอันถือเป็นเอกลักษณ์ของความเป็นชาติไทยนี้อาจจะบอบช้ำเสียจนเกินเยียวยา การปลูกฝังจิตสำนึกและความตระหนักแก่ทุกคนในชาติจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะทุกสิ่งที่มนุษย์ยึดถือปฏิบัติล้วนมาจากจิตสำนึกทั้งสิ้น เมื่อกระทำได้ดังนี้แล้ว ไม่ว่าวิถีชีวิตแบบไหน หรือค่านิยมสมัยใหม่ประเภทใดก็ไม่สามารถทำลายภาษาไทยของเราได้อย่างแน่นอน
http://www.pasasiam.com/home/index.php/pasasiam/private/523-2009-05-27-06-43-00
ชีวิตคู่กับการวางแผนทางการเงิน
ชีวิตคู่กับการวางแผนทางการเงิน
การแต่งงานใครๆ ก็เห็นด้วยว่าเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องสำคัญในชีวิตของคนเรา ไม่ใช่เรื่องของคนแค่สองคนแต่ยังต้องรวมไปถึงญาติ และครอบครัวของทั้งสองฝ่ายด้วย ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาคู่แต่งงานมักจะให้ความสำคัญกับงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรส งานเลี้ยง งานฉลองที่มีแขกเหรื่อมากมาย ทั้งญาติสนิท มิตรสหาย เพื่อนสมัยเรียน เพื่อนร่วมงาน เจ้านาย ลูกน้องของทั้งสองฝ่ายเยอะแยะไปหมด
แม้ว่าในปัจจุบันจะมี Wedding Organizer มี Wedding Studio รับจัดการ ดูแล และออกแบบงานแต่งงานให้แบบครบวงจรก็ตาม ว่าที่เจ้าบ่าว เจ้าสาวทั้งหลายก็ยังมีเรื่องให้วิ่งวุ่นๆ หลายเรื่องเพื่อให้งานเลี้ยงแม้เพียงช่วงไม่กี่ชั่วโมงออกมาดีที่สุด นั่นก็ว่าด้วยเรื่องก่อนแต่ง พอแต่งงานไปแล้ว น่าจะต้องวางแผนการแต่งเงินด้วย คนเราต่อให้รักกันปานใด รู้จักกันมานานเพียงใด หากไม่จัดการเรื่องเงินๆ ทองๆ ของชีวิตคู่ให้ชัดเจน ปล่อยให้คลุมๆ เครือๆ ไม่รู้ว่าคู่ชีวิตมีเงินเดือนประมาณเท่าใด ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นค่าอะไร มีหนี้สินอยู่บ้างมั้ย เป็นหนี้อะไรบ้าง จำนวนเท่าไร ต้องส่งเสีย ดูแลครอบครัว พ่อแม่พี่น้องบ้างมั้ย ความไม่รู้หรือความคลุมเครือจะก่อให้เกิดการระหองระแหง สร้างความไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน ความไม่เข้าใจกัน ซึ่งจะบั่นทอนความสุข ความอบอุ่นในการใช้ชีวิตคู่ไปอย่างน่าเสียดาย
การแต่งเงินที่ดี ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับวิถีชีวิตของแต่ละคู่ ที่จะต้องร่วมกันออกแบบ โดยควรจะเริ่มจากการทำบันทึกรายได้ และการใช้จ่ายสักสองหรือสามเดือน เพื่อติดตามพฤติกรรมการใช้จ่ายของทั้งสองคน และเพื่อตรวจสอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นร่วมกัน เริ่มตั้งแต่บันทึกเงินเดือน รายได้ต่างๆ แล้วตามด้วยค่าใช้จ่ายร่วมทั้ง ค่าเช่าบ้านหรือผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถหรือค่าเดินทาง ค่าน้ำมัน ค่าอาหาร ค่าเครื่องอุปโภคบริโภค ค่าน้ำค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าเสื้อผ้า แล้วตามด้วยค่าใช้จ่ายส่วนตัว การบันทึกนี้จะช่วยให้ทั้งคู่ได้รับรู้รายได้ และภาระค่าใช้จ่ายของกันและกัน รวมทั้งส่วนที่จะต้องรับผิดชอบร่วมกัน
ลองนึกดูหากเรารู้แต่ว่าคู่ชีวิตของเรามีรายได้ มีเงินเดือนเท่านั้น เท่านี้ แล้วประเมินเอาเองว่า น่าจะมีเงินให้เรา หรือให้ครอบครัวเท่านั้น เท่านี้ น่าจะซื้อนั่น จ่ายนี่ให้เราได้ แบบนี้ไม่ดีแน่ เพราะโดยปกติเรามักมีแนวโน้มจะคิดและตีความอะไรเข้าข้างตัวเอง แล้วความไม่เข้าใจกันก็จะก่อร่างสร้างตัวขึ้น เพราะความไม่รู้ เพราะมีแต่ข้อมูลรายได้ด้านเดียว
นอกจากนี้ การทำบันทึกแบบนี้จะทำให้ทั้งคู่ได้เห็นพฤติกรรมการใช้จ่ายของกันและกันด้วย คู่ชีวิตของเราอาจจะงกกว่าที่เรารู้จัก หรือฟุ่มเฟือยมากกว่าที่เราคิด การรับรู้น่าจะนำไปสู่การพูดคุยเพื่อปรับจูนให้เข้ากันได้ดีขึ้น ข้อมูลสำคัญนี้จะช่วยให้การแต่งเงินเป็นไปอย่างเหมาะสม หลายคู่อาจจะตกลงจะรวมกระเป๋ากันแล้วให้คุณแม่บ้านเป็นผู้บริหาร แต่หลายคู่อาจจะยังคงแยกกระเป๋ากัน แต่มี "กองทุนครอบครัวอบอุ่น" สำหรับค่าใช้จ่ายร่วมโดยอาจจะรับผิดชอบคนละเท่าๆ กัน หรือตามสัดส่วนรายได้ก็แล้วแต่จะพูดคุยกัน เพื่อยังคงความเป็นอิสระ ความส่วนตัวไว้บ้าง
หลายคนอาจจะต้องพบกับปัญหาทางการเงินของคู่ชีวิตที่คาดไม่ถึง แต่เมื่อเราตัดสินใจจะใช้ชีวิตร่วมกันแล้ว คู่ชีวิตที่ดี ย่อมต้องเชื่อมั่นในกันและกัน ช่วยกันฟันฝ่าอุปสรรคทางการเงินไปให้ได้ อาจจะต้องเริ่มจากการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต ตั้งเป้าหมาย หาวิธีจัดการหนี้ และตัดลดค่าใช้จ่ายลงเพื่อให้การจัดการหนี้สำเร็จลุล่วงไปไม่เป็นก้างขวางทางทำลายความรักที่เคยมีให้กัน
ที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ ทุกคู่ควรมีการกำหนดเป้าหมายในอนาคตร่วมกัน อย่างเช่น การซื้อบ้าน ซื้อรถ การท่องเที่ยว การดูแลคุณพ่อคุณแม่ ญาติๆ ของทั้งสองฝ่าย การมีลูก การศึกษาของลูก การเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ การปรับปรุงตกแต่งบ้าน ซึ่งต้องกำหนดด้วยว่าเป้าหมายเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อใด เพื่อจะได้จัดตั้ง "กองทุนครอบครัวมั่นคง" สำหรับเป็นหลักประกันเพื่อความมั่นใจในอนาคต
เมื่อครอบครัวมั่นคงแล้ว ก็ต้องไม่ลืมจัดตั้ง "กองทุนครอบครัวมั่งคั่ง" สำหรับการขยายดอกผล สร้างความมั่งคั่งให้เงินทองที่มี ได้ผลิดอกออกผลจากการออม การลงทุนในรูปแบบต่างๆ ตามที่ควรจะเป็น และต้องไม่ลืมวางแผนเผื่อเหตุฉุกเฉินไว้บ้าง เพราะความไม่แน่นอน เหตุไม่คาดฝัน หรืออุบัติเหตุย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ หลายคู่อาจจะเลือกทำประกันภัย ประกันชีวิต แต่ก็น่าจะวางแผนต้องเผื่อการตกงาน การลดลงของรายได้ เศรษฐกิจตกต่ำ รวมทั้งเหตุฉุกเฉินของญาติพี่น้องของทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย จึงอาจจะต้องมี "กองทุนครอบครัวสุขสันต์" ไว้บ้าง...
โดย คุณวีระชาติ ชุตินันท์วโรดม
ที่มา TSI Investment Wiki
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
http://www.tsi-thailand.org/
http://www.set.or.th/
การแต่งงานใครๆ ก็เห็นด้วยว่าเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องสำคัญในชีวิตของคนเรา ไม่ใช่เรื่องของคนแค่สองคนแต่ยังต้องรวมไปถึงญาติ และครอบครัวของทั้งสองฝ่ายด้วย ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาคู่แต่งงานมักจะให้ความสำคัญกับงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรส งานเลี้ยง งานฉลองที่มีแขกเหรื่อมากมาย ทั้งญาติสนิท มิตรสหาย เพื่อนสมัยเรียน เพื่อนร่วมงาน เจ้านาย ลูกน้องของทั้งสองฝ่ายเยอะแยะไปหมด
แม้ว่าในปัจจุบันจะมี Wedding Organizer มี Wedding Studio รับจัดการ ดูแล และออกแบบงานแต่งงานให้แบบครบวงจรก็ตาม ว่าที่เจ้าบ่าว เจ้าสาวทั้งหลายก็ยังมีเรื่องให้วิ่งวุ่นๆ หลายเรื่องเพื่อให้งานเลี้ยงแม้เพียงช่วงไม่กี่ชั่วโมงออกมาดีที่สุด นั่นก็ว่าด้วยเรื่องก่อนแต่ง พอแต่งงานไปแล้ว น่าจะต้องวางแผนการแต่งเงินด้วย คนเราต่อให้รักกันปานใด รู้จักกันมานานเพียงใด หากไม่จัดการเรื่องเงินๆ ทองๆ ของชีวิตคู่ให้ชัดเจน ปล่อยให้คลุมๆ เครือๆ ไม่รู้ว่าคู่ชีวิตมีเงินเดือนประมาณเท่าใด ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นค่าอะไร มีหนี้สินอยู่บ้างมั้ย เป็นหนี้อะไรบ้าง จำนวนเท่าไร ต้องส่งเสีย ดูแลครอบครัว พ่อแม่พี่น้องบ้างมั้ย ความไม่รู้หรือความคลุมเครือจะก่อให้เกิดการระหองระแหง สร้างความไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน ความไม่เข้าใจกัน ซึ่งจะบั่นทอนความสุข ความอบอุ่นในการใช้ชีวิตคู่ไปอย่างน่าเสียดาย
การแต่งเงินที่ดี ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับวิถีชีวิตของแต่ละคู่ ที่จะต้องร่วมกันออกแบบ โดยควรจะเริ่มจากการทำบันทึกรายได้ และการใช้จ่ายสักสองหรือสามเดือน เพื่อติดตามพฤติกรรมการใช้จ่ายของทั้งสองคน และเพื่อตรวจสอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นร่วมกัน เริ่มตั้งแต่บันทึกเงินเดือน รายได้ต่างๆ แล้วตามด้วยค่าใช้จ่ายร่วมทั้ง ค่าเช่าบ้านหรือผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถหรือค่าเดินทาง ค่าน้ำมัน ค่าอาหาร ค่าเครื่องอุปโภคบริโภค ค่าน้ำค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าเสื้อผ้า แล้วตามด้วยค่าใช้จ่ายส่วนตัว การบันทึกนี้จะช่วยให้ทั้งคู่ได้รับรู้รายได้ และภาระค่าใช้จ่ายของกันและกัน รวมทั้งส่วนที่จะต้องรับผิดชอบร่วมกัน
ลองนึกดูหากเรารู้แต่ว่าคู่ชีวิตของเรามีรายได้ มีเงินเดือนเท่านั้น เท่านี้ แล้วประเมินเอาเองว่า น่าจะมีเงินให้เรา หรือให้ครอบครัวเท่านั้น เท่านี้ น่าจะซื้อนั่น จ่ายนี่ให้เราได้ แบบนี้ไม่ดีแน่ เพราะโดยปกติเรามักมีแนวโน้มจะคิดและตีความอะไรเข้าข้างตัวเอง แล้วความไม่เข้าใจกันก็จะก่อร่างสร้างตัวขึ้น เพราะความไม่รู้ เพราะมีแต่ข้อมูลรายได้ด้านเดียว
นอกจากนี้ การทำบันทึกแบบนี้จะทำให้ทั้งคู่ได้เห็นพฤติกรรมการใช้จ่ายของกันและกันด้วย คู่ชีวิตของเราอาจจะงกกว่าที่เรารู้จัก หรือฟุ่มเฟือยมากกว่าที่เราคิด การรับรู้น่าจะนำไปสู่การพูดคุยเพื่อปรับจูนให้เข้ากันได้ดีขึ้น ข้อมูลสำคัญนี้จะช่วยให้การแต่งเงินเป็นไปอย่างเหมาะสม หลายคู่อาจจะตกลงจะรวมกระเป๋ากันแล้วให้คุณแม่บ้านเป็นผู้บริหาร แต่หลายคู่อาจจะยังคงแยกกระเป๋ากัน แต่มี "กองทุนครอบครัวอบอุ่น" สำหรับค่าใช้จ่ายร่วมโดยอาจจะรับผิดชอบคนละเท่าๆ กัน หรือตามสัดส่วนรายได้ก็แล้วแต่จะพูดคุยกัน เพื่อยังคงความเป็นอิสระ ความส่วนตัวไว้บ้าง
หลายคนอาจจะต้องพบกับปัญหาทางการเงินของคู่ชีวิตที่คาดไม่ถึง แต่เมื่อเราตัดสินใจจะใช้ชีวิตร่วมกันแล้ว คู่ชีวิตที่ดี ย่อมต้องเชื่อมั่นในกันและกัน ช่วยกันฟันฝ่าอุปสรรคทางการเงินไปให้ได้ อาจจะต้องเริ่มจากการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต ตั้งเป้าหมาย หาวิธีจัดการหนี้ และตัดลดค่าใช้จ่ายลงเพื่อให้การจัดการหนี้สำเร็จลุล่วงไปไม่เป็นก้างขวางทางทำลายความรักที่เคยมีให้กัน
ที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ ทุกคู่ควรมีการกำหนดเป้าหมายในอนาคตร่วมกัน อย่างเช่น การซื้อบ้าน ซื้อรถ การท่องเที่ยว การดูแลคุณพ่อคุณแม่ ญาติๆ ของทั้งสองฝ่าย การมีลูก การศึกษาของลูก การเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ การปรับปรุงตกแต่งบ้าน ซึ่งต้องกำหนดด้วยว่าเป้าหมายเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อใด เพื่อจะได้จัดตั้ง "กองทุนครอบครัวมั่นคง" สำหรับเป็นหลักประกันเพื่อความมั่นใจในอนาคต
เมื่อครอบครัวมั่นคงแล้ว ก็ต้องไม่ลืมจัดตั้ง "กองทุนครอบครัวมั่งคั่ง" สำหรับการขยายดอกผล สร้างความมั่งคั่งให้เงินทองที่มี ได้ผลิดอกออกผลจากการออม การลงทุนในรูปแบบต่างๆ ตามที่ควรจะเป็น และต้องไม่ลืมวางแผนเผื่อเหตุฉุกเฉินไว้บ้าง เพราะความไม่แน่นอน เหตุไม่คาดฝัน หรืออุบัติเหตุย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ หลายคู่อาจจะเลือกทำประกันภัย ประกันชีวิต แต่ก็น่าจะวางแผนต้องเผื่อการตกงาน การลดลงของรายได้ เศรษฐกิจตกต่ำ รวมทั้งเหตุฉุกเฉินของญาติพี่น้องของทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย จึงอาจจะต้องมี "กองทุนครอบครัวสุขสันต์" ไว้บ้าง...
โดย คุณวีระชาติ ชุตินันท์วโรดม
ที่มา TSI Investment Wiki
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
http://www.tsi-thailand.org/
http://www.set.or.th/
10 ข้อคิดดีๆ ในการใช้ชีวิตคู่
10 ข้อคิดดีๆ ในการใช้ชีวิตคู่
ข้อมูลจาก Forward Mail
ภาพประกอบจาก Glitter.kapook.com
1. เป็นตัวของตัวเอง และยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น อย่าพยายามเปลี่ยนคนรักของคุณให้เป็นในสิ่งที่เขาไม่ได้เป็น ขอให้รักในสิ่งที่คนรักของคุณเป็น ยังมีอีกหลายสิ่งอีกมากมายในตัวคนรักของคุณ ซึ่งมากกว่าสิ่งภายนอกที่ตาของคุณมองเห็น
2. มีอะไรต้องพูดกัน สำหรับคุณผู้ชายอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องพูดต้องเล่าทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งบางทีคุณคิดว่ามันไร้สาระ ซึ่งต่างจากผู้หญิง อย่ามัวนั่งเดาความรู้สึกของอีกฝ่าย แต่ให้เรียนรู้ที่จะพูดและแสดงออกว่าคุณรู้สึกอย่างไร เพื่อที่จะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจว่า คุณกำลังรู้สึกอะไร ต้องการอะไร ทำไมคุณถึงอารมณ์ไม่ดี หรือแม้แต่วันนี้ที่คุณอารมณ์ดีเนี่ยเป็นเพราะอะไร เมื่อคุณไม่ต้องการหรือคุณหยุดที่จะถ่ายทอด บอกเล่าความรู้สึกของคุณให้กับอีกฝ่ายได้รับฟัง นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดของความรัก
3. หากิจกรรมทำร่วมกัน ข้อนี้ง่ายมาก หากิจกรรมอะไรก็ตามที่ทั้งคู่สามารถทำด้วยกันแล้วมีความสุข กระทำร่วมกัน คุณอาจจะนั่งดูทีวี หรือไปเดินเล่นจูงมือกันในห้างสรรพสินค้า สวนสาธารณะตามแต่รสนิยมของคุณทั้งคู่ แล้วก็ต้องรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา หรือเรียกว่าเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน โดยคุณผู้หญิงนานๆ ที ก็ลองนั่งดูรายการฟุตบอลรายการโปรดของแฟนคุณเปลี่ยนบรรยากาศ
ส่วนคุณผู้ชายก็อาจจะลองไปเดิน shopping เป็นเพื่อนแฟนคุณดูสักครั้งแทนที่จะไล่ให้แฟนคุณไปช๊อบปิ้งกับเพื่อนของเธอ อาจจะทำให้ทั้งคู่เข้าใจอารมณ์ของกันและกันมากยิ่งขึ้น การที่คุณใช้เวลากับเพื่อนของคุณมากกว่ากับแฟนของคุณ นั่นอาจจะเป็นสัญญาณอันตรายบ่งบอกว่า ความสัมพันธ์ของคุณกำลังสั่นคลอน
4. พบกันคนละครึ่งทาง ถ้าหากแฟนหนุ่มของคุณกล้าที่จะโยนเสื้อตัวโปรด ขาดๆ เก่าๆ ที่คุณไม่ชอบของเขาทิ้ง คุณก็ไม่ควรจะโกรธถ้าเขาขอร้องให้คุณเก็บกวาดห้องให้เรียบร้อย ความสัมพันธ์ที่สมดุลและแนบแน่น ต้องประกอบไปด้วยการให้และการรับ เพราะฉะนั้นจงเรียนรู้ที่จะพบกันคนละครึ่งทาง
5. แสดงความรักของคุณให้เขารู้ ลองซื้อดอกไม้ ขนม หรือน้ำหอม ให้กับคนที่คุณรักอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าคุณจะคบกันมา 5 ปีแล้วก็ตาม มันจะทำให้คุณรู้สึกดีที่ได้แสดงความรักแก่คนที่คุณรักอย่างสม่ำเสมอ นี่เป็นการบริหารความสัมพันธ์ของคู่ของคุณ แม้ว่าจะคบกันมานาน หัดเอาใจใส่ในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ของคนที่คุณรักและแสดงให้เขาเห็นว่า คุณใส่ใจอาจจะเป็นเรื่องอาการไม่สบาย ขนมที่เขาชอบ หรือสีโปรดของเขา สิ่งเหล่านี้เรารับรองว่าถ้าคุณลองทำ ความรักของคุณจะชุ่มชื่น จนใครๆ อิจฉา
6. ให้เกียรติซึ่งกันและกัน หยุดล้อเล่น และหัวเราะเยาะปมด้อย หรือข้อบกพร่องในตัวเขา หากเป็นสิ่งที่คุณเคยชินที่จะทำ ลองไตร่ตรองดูว่า เขาหรือเธออาจไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องตลกด้วยก็ได้ ถ้าหากว่าเขามีปมด้อย ตรงความเตี้ยของเขา คุณก็ควรจะหยุดเปรยชมคนตัวสูงๆ ที่บังเอิญเดินผ่านเข้ามารู้มั๊ยว่านั่น เป็นการทำลายความมั่นใจและความรู้สึกของเขาโดยตรง "ความรักเป็นเรื่องของการให้เกียรติซึ่งกันและกัน และแคร์ความรู้สึกของกันและกันตลอดเวลา"
7. ลืมความหลังครั้งเก่าเสีย หยุดพูดถึงเรื่องเก่าๆ ไม่มีใครหรอกที่อยากจะพูดถึงและนึกถึงเรื่องที่เศร้า หรือเรื่องผิดพลาดในอดีตของตัวเอง รู้จักให้อภัยและ เลิกขุดคุ้ยข้อผิดพลาดของกันและกัน ให้อดีตเป็นเพียงบทเรียน เป็นเพียงสิ่งที่ผ่านไป สิ่งที่สำคัญที่สุดคือปัจจุบัน
8. เลิกนิสัยขี้อิจฉาของคุณ เราพนันได้เลยว่า ทุกคนมีความรู้สึกไม่ปลอดภัย และระแวงกันในช่วงต้นของความสัมพันธ์ แต่อย่าเปลี่ยนความรู้สึกไม่ปลอดภัย และระแวงมาเป็นความอิจฉา วิธีทดสอบว่าคุณเริ่มอิจฉาก็คือ คุณเริ่มที่จะตรวจสอบกระเป๋าสตางค์หรือของส่วนตัวของเขา นั่นแหละใช่เลย คุณกำลังระแวงเขาอยู่ ความอิจฉาหรือความขี้หึงก็เหมือนกับยาพิษที่ค่อยๆ ทำลายความรักและความสัมพันธ์ของคุณ ไปทีละเล็กทีละน้อยโดยที่คุณไม่รู้ตัว จงเชื่อมั่นในตัวคนรักของคุณ ความรักจะต้องมีความเชื่อใจกันเป็นพื้นฐาน
9. ฝึกเป็นคนรักษาคำพูด ถ้าคุณเป็นคนชอบผิดนัดและผิดสัญญา ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องจับเข่าคุยกันให้รู้เรื่อง หากคุณคิดว่าคุณจะมีคนรัก คุณก็ควรจะให้ความสำคัญแก่คนรักของคุณ และพยายามอย่าทำให้เขาผิดหวัง ถ้าหากเป็นเรื่องที่ไม่สุดวิสัยจริงๆ เพราะมันจะทำให้เขารู้สึกแย่เมื่อคนรักของคุณต้องรอคุณทานข้าว แล้วคุณไม่มา ถ้าหากคุณไม่สามารถทำตามสัญญา ก็อย่าสัญญา เพราะว่าเมื่อไรก็ตามที่คนรักของคุณ เริ่มที่จะรู้สึกว่า เขาไม่มีความสำคัญต่อคุณสักเท่าไหร่ นั่นเป็นสัญญาณว่าคุณกำลังจะสูญเสียเขาคนนั้นไปในไม่ช้า
10.จงซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของคุณเอง และคนรักของคุณ ความซื่อสัตย์ต่อความรู้สึก หมายถึง คือการอธิบายความรู้สึกของคุณอย่างตรงไปตรงมาแก่คนรัก อย่าปิดบังความรู้สึก ถ้าคุณรู้สึกว่าเขาทำให้คุณรู้สึกเจ็บปวด หรือโกรธเคือง จงบอกเขาอย่างไม่ต้องอาย…ความสัมพันธ์ที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความซื่อสัตย์ ก็เป็นแค่เพียงความสัมพันธ์ที่ไม่มีคุณค่าอะไร… เพียงพอที่จะเสียดาย
http://hilight.kapook.com/view/30763
ข้อมูลจาก Forward Mail
ภาพประกอบจาก Glitter.kapook.com
1. เป็นตัวของตัวเอง และยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น อย่าพยายามเปลี่ยนคนรักของคุณให้เป็นในสิ่งที่เขาไม่ได้เป็น ขอให้รักในสิ่งที่คนรักของคุณเป็น ยังมีอีกหลายสิ่งอีกมากมายในตัวคนรักของคุณ ซึ่งมากกว่าสิ่งภายนอกที่ตาของคุณมองเห็น
2. มีอะไรต้องพูดกัน สำหรับคุณผู้ชายอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องพูดต้องเล่าทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งบางทีคุณคิดว่ามันไร้สาระ ซึ่งต่างจากผู้หญิง อย่ามัวนั่งเดาความรู้สึกของอีกฝ่าย แต่ให้เรียนรู้ที่จะพูดและแสดงออกว่าคุณรู้สึกอย่างไร เพื่อที่จะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจว่า คุณกำลังรู้สึกอะไร ต้องการอะไร ทำไมคุณถึงอารมณ์ไม่ดี หรือแม้แต่วันนี้ที่คุณอารมณ์ดีเนี่ยเป็นเพราะอะไร เมื่อคุณไม่ต้องการหรือคุณหยุดที่จะถ่ายทอด บอกเล่าความรู้สึกของคุณให้กับอีกฝ่ายได้รับฟัง นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดของความรัก
3. หากิจกรรมทำร่วมกัน ข้อนี้ง่ายมาก หากิจกรรมอะไรก็ตามที่ทั้งคู่สามารถทำด้วยกันแล้วมีความสุข กระทำร่วมกัน คุณอาจจะนั่งดูทีวี หรือไปเดินเล่นจูงมือกันในห้างสรรพสินค้า สวนสาธารณะตามแต่รสนิยมของคุณทั้งคู่ แล้วก็ต้องรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา หรือเรียกว่าเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน โดยคุณผู้หญิงนานๆ ที ก็ลองนั่งดูรายการฟุตบอลรายการโปรดของแฟนคุณเปลี่ยนบรรยากาศ
ส่วนคุณผู้ชายก็อาจจะลองไปเดิน shopping เป็นเพื่อนแฟนคุณดูสักครั้งแทนที่จะไล่ให้แฟนคุณไปช๊อบปิ้งกับเพื่อนของเธอ อาจจะทำให้ทั้งคู่เข้าใจอารมณ์ของกันและกันมากยิ่งขึ้น การที่คุณใช้เวลากับเพื่อนของคุณมากกว่ากับแฟนของคุณ นั่นอาจจะเป็นสัญญาณอันตรายบ่งบอกว่า ความสัมพันธ์ของคุณกำลังสั่นคลอน
4. พบกันคนละครึ่งทาง ถ้าหากแฟนหนุ่มของคุณกล้าที่จะโยนเสื้อตัวโปรด ขาดๆ เก่าๆ ที่คุณไม่ชอบของเขาทิ้ง คุณก็ไม่ควรจะโกรธถ้าเขาขอร้องให้คุณเก็บกวาดห้องให้เรียบร้อย ความสัมพันธ์ที่สมดุลและแนบแน่น ต้องประกอบไปด้วยการให้และการรับ เพราะฉะนั้นจงเรียนรู้ที่จะพบกันคนละครึ่งทาง
5. แสดงความรักของคุณให้เขารู้ ลองซื้อดอกไม้ ขนม หรือน้ำหอม ให้กับคนที่คุณรักอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าคุณจะคบกันมา 5 ปีแล้วก็ตาม มันจะทำให้คุณรู้สึกดีที่ได้แสดงความรักแก่คนที่คุณรักอย่างสม่ำเสมอ นี่เป็นการบริหารความสัมพันธ์ของคู่ของคุณ แม้ว่าจะคบกันมานาน หัดเอาใจใส่ในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ของคนที่คุณรักและแสดงให้เขาเห็นว่า คุณใส่ใจอาจจะเป็นเรื่องอาการไม่สบาย ขนมที่เขาชอบ หรือสีโปรดของเขา สิ่งเหล่านี้เรารับรองว่าถ้าคุณลองทำ ความรักของคุณจะชุ่มชื่น จนใครๆ อิจฉา
6. ให้เกียรติซึ่งกันและกัน หยุดล้อเล่น และหัวเราะเยาะปมด้อย หรือข้อบกพร่องในตัวเขา หากเป็นสิ่งที่คุณเคยชินที่จะทำ ลองไตร่ตรองดูว่า เขาหรือเธออาจไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องตลกด้วยก็ได้ ถ้าหากว่าเขามีปมด้อย ตรงความเตี้ยของเขา คุณก็ควรจะหยุดเปรยชมคนตัวสูงๆ ที่บังเอิญเดินผ่านเข้ามารู้มั๊ยว่านั่น เป็นการทำลายความมั่นใจและความรู้สึกของเขาโดยตรง "ความรักเป็นเรื่องของการให้เกียรติซึ่งกันและกัน และแคร์ความรู้สึกของกันและกันตลอดเวลา"
7. ลืมความหลังครั้งเก่าเสีย หยุดพูดถึงเรื่องเก่าๆ ไม่มีใครหรอกที่อยากจะพูดถึงและนึกถึงเรื่องที่เศร้า หรือเรื่องผิดพลาดในอดีตของตัวเอง รู้จักให้อภัยและ เลิกขุดคุ้ยข้อผิดพลาดของกันและกัน ให้อดีตเป็นเพียงบทเรียน เป็นเพียงสิ่งที่ผ่านไป สิ่งที่สำคัญที่สุดคือปัจจุบัน
8. เลิกนิสัยขี้อิจฉาของคุณ เราพนันได้เลยว่า ทุกคนมีความรู้สึกไม่ปลอดภัย และระแวงกันในช่วงต้นของความสัมพันธ์ แต่อย่าเปลี่ยนความรู้สึกไม่ปลอดภัย และระแวงมาเป็นความอิจฉา วิธีทดสอบว่าคุณเริ่มอิจฉาก็คือ คุณเริ่มที่จะตรวจสอบกระเป๋าสตางค์หรือของส่วนตัวของเขา นั่นแหละใช่เลย คุณกำลังระแวงเขาอยู่ ความอิจฉาหรือความขี้หึงก็เหมือนกับยาพิษที่ค่อยๆ ทำลายความรักและความสัมพันธ์ของคุณ ไปทีละเล็กทีละน้อยโดยที่คุณไม่รู้ตัว จงเชื่อมั่นในตัวคนรักของคุณ ความรักจะต้องมีความเชื่อใจกันเป็นพื้นฐาน
9. ฝึกเป็นคนรักษาคำพูด ถ้าคุณเป็นคนชอบผิดนัดและผิดสัญญา ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องจับเข่าคุยกันให้รู้เรื่อง หากคุณคิดว่าคุณจะมีคนรัก คุณก็ควรจะให้ความสำคัญแก่คนรักของคุณ และพยายามอย่าทำให้เขาผิดหวัง ถ้าหากเป็นเรื่องที่ไม่สุดวิสัยจริงๆ เพราะมันจะทำให้เขารู้สึกแย่เมื่อคนรักของคุณต้องรอคุณทานข้าว แล้วคุณไม่มา ถ้าหากคุณไม่สามารถทำตามสัญญา ก็อย่าสัญญา เพราะว่าเมื่อไรก็ตามที่คนรักของคุณ เริ่มที่จะรู้สึกว่า เขาไม่มีความสำคัญต่อคุณสักเท่าไหร่ นั่นเป็นสัญญาณว่าคุณกำลังจะสูญเสียเขาคนนั้นไปในไม่ช้า
10.จงซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของคุณเอง และคนรักของคุณ ความซื่อสัตย์ต่อความรู้สึก หมายถึง คือการอธิบายความรู้สึกของคุณอย่างตรงไปตรงมาแก่คนรัก อย่าปิดบังความรู้สึก ถ้าคุณรู้สึกว่าเขาทำให้คุณรู้สึกเจ็บปวด หรือโกรธเคือง จงบอกเขาอย่างไม่ต้องอาย…ความสัมพันธ์ที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความซื่อสัตย์ ก็เป็นแค่เพียงความสัมพันธ์ที่ไม่มีคุณค่าอะไร… เพียงพอที่จะเสียดาย
http://hilight.kapook.com/view/30763
5 อันตรายจากการใช้เฟสบุ๊ค
5 อันตรายจากการใช้เฟสบุ๊ค
ปัจจุบัน ผู้คนนิยมสร้างเครือข่ายทางสังคมบนโลกเสมือนจริงเพิ่มมากขึ้น แต่รู้หรือไม่ว่ามีอันตรายซ่อนอยู่
เมื่อเร็วๆ นี้ เว็บไซต์ DNA ได้นำเสนอ ข้อเตือนใจจากโจน กู๊ดไชลด์ (Joan Godchild บรรณาธิการอาวุโสของ CSO (Chief Security Officer) ออนไลน์ เกี่ยวกับอันตรายที่ซ่อนอยู่จากการใช้เฟสบุ๊ค
1. ข้อมูลของคุณกำลังถูกแบ่งปันไปยังบุคคลที่ 3
2. การตั้งค่าความเป็นส่วนตัวจะคืนกลับสู่โหมดปกติซึ่งมีความปลอดภัยน้อยหลังจากมีการปรับปรุงเว็บไซต์ใหม่ทุกครั้ง
3. อาจจะมีมัลแวร์ (ศัตรูของคอมพิวเตอร์)ซ่อนอยู่
4. เพื่อนของคุณไม่รู้ว่ากำลังทำให้คุณไม่ปลอดภัย
5. ผู้ไม่ประสงค์ดีกำลังสร้างประวัติอันเป็นเท็จ
นอกจากนี้ DNA ยังรายงานว่าเร็วๆ นี้องค์กรต่างๆ ที่พิทักษ์สิทธิ์และคุ้มครองผู้บริโภคถึง 15 องค์กร กำลังจะยื่นข้อร้องทุกข์กับคณะกรรมการกำกับดูแลการค้าแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (the FederalTradeCommission) โดยอ้างว่าเว็บไซต์อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวเพื่อที่จะทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลถูกนำไปใช้เพื่อการค้า
การสร้างเครือข่ายทางสังคมบนโลกออนไลน์อาจจะให้ทั้งผลดี หรือผลร้าย ส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานและวิจารณญาณของผู้ใช้ด้วยเช่นกัน
http://www.bungkan.com/bks_alumni/knowledge-id2034.html
ปัจจุบัน ผู้คนนิยมสร้างเครือข่ายทางสังคมบนโลกเสมือนจริงเพิ่มมากขึ้น แต่รู้หรือไม่ว่ามีอันตรายซ่อนอยู่
เมื่อเร็วๆ นี้ เว็บไซต์ DNA ได้นำเสนอ ข้อเตือนใจจากโจน กู๊ดไชลด์ (Joan Godchild บรรณาธิการอาวุโสของ CSO (Chief Security Officer) ออนไลน์ เกี่ยวกับอันตรายที่ซ่อนอยู่จากการใช้เฟสบุ๊ค
1. ข้อมูลของคุณกำลังถูกแบ่งปันไปยังบุคคลที่ 3
2. การตั้งค่าความเป็นส่วนตัวจะคืนกลับสู่โหมดปกติซึ่งมีความปลอดภัยน้อยหลังจากมีการปรับปรุงเว็บไซต์ใหม่ทุกครั้ง
3. อาจจะมีมัลแวร์ (ศัตรูของคอมพิวเตอร์)ซ่อนอยู่
4. เพื่อนของคุณไม่รู้ว่ากำลังทำให้คุณไม่ปลอดภัย
5. ผู้ไม่ประสงค์ดีกำลังสร้างประวัติอันเป็นเท็จ
นอกจากนี้ DNA ยังรายงานว่าเร็วๆ นี้องค์กรต่างๆ ที่พิทักษ์สิทธิ์และคุ้มครองผู้บริโภคถึง 15 องค์กร กำลังจะยื่นข้อร้องทุกข์กับคณะกรรมการกำกับดูแลการค้าแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (the FederalTradeCommission) โดยอ้างว่าเว็บไซต์อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวเพื่อที่จะทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลถูกนำไปใช้เพื่อการค้า
การสร้างเครือข่ายทางสังคมบนโลกออนไลน์อาจจะให้ทั้งผลดี หรือผลร้าย ส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานและวิจารณญาณของผู้ใช้ด้วยเช่นกัน
http://www.bungkan.com/bks_alumni/knowledge-id2034.html
ทฤษฏีการจัดทำงบการเงินรวม
บทความเกี่ยวกับบัญชี
ทฤษฏีการจัดทำงบการเงินรวม
งบการเงินรวมเป็นรายงานทางการเงินที่จัดทำขึ้นเพื่อให้ทราบถึงผลประ
กอบการของกลุ่มกิจการ โดยงบการเงินรวมนำเสนอเสมือนว่ากลุ่มกิจการ
นั้นเป็นกิจการเดียว ฉะนั้นการ จัดทำงบการเงินรวมมีความสำคัญมากต่อการ
ที่นักวิเคราะห์ทางการเงิน หรือผู้ใช้งบการเงินที่ต้องการพิจารณางบการเงิน
ของกลุ่มกิจการ โดยประโยชน์ของการวิเคราะห์งบการเงิน ยังคงไม่แตกต่างจากประโยชน์การวิเคราะห์งบการเงินของกิจการใดกิจการหนึ่ง คือทำให้ผู้ใช้งบการเงินรวมสามารถนำผลการวิเคราะห์ไปใช้ตัดสินใจทางการเงิน
การเลือกลงทุนในกลุ่มกิจการ หรือใช้พยากรณ์อนาคตผลประกอบการและฐานะ
ทางการเงินของกลุ่มกิจการ หรือใช้เป็นเครื่องมือการวินิจฉัยปัญหา ของการบร
ิหารงาน การดำเนินงาน หรือใช้เป็นเครื่องมือประเมินผล (Evaluation) ของฝ่าย
บริหาร มาตรฐานการบัญชีปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับการทำงบการเงินรวมและการ
บัญชีสำหรับเงินลงทุนในบริษัทย่อยคือ ฉบับที่ 44 (ถือปฏิบัติเมื่อ 1 มกราคม
2543) ซึ่งใช้แทนมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 19 โดยมาตรฐานการบัญชีฉบับที่
44 นี้ ได้จัดทำขึ้นเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นโดยมาตรฐาน การบัญชีระหว่าง
ประเทศ ฉบับที่ 27 (IAS No. 27 “Consolidate Financial Statements and
Accounting for Investments in Subsidiaries” (Reformatted 1994) โดย
มาตรฐานไทยฉบับที่ 44 มีเนื้อหาสาระสำคัญไม่แตกต่างจากมาตรฐานการบัญช
ีระหว่างประเทศ ยกเว้นมาตรฐานไทยจะกำหนดให้ส่วนได้เสียของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย
ต้องแสดงเป็น
รายการแยกต่างหากต่อจากกำไรสะสม ภายใต้ส่วนของเจ้าของ ในงบการเงิน
รวมเพื่อให้สอดคล้องกับแม่บทการบัญชี ในบทความนี้จะอธิบายถึงลักษณะของ
งบการเงินรวม โดยจะเน้นให้ความรู้เบื้องต้นก่อน เพื่อเป็นแนวทางในการศึกษา
การจัดทำและการวิเคราะห์งบการเงินรวมต่อไป
วัตถุประสงค์ของการจัดทำงบการเงินรวม
การจัดทำงบการเงินรวมมีวัตถุประสงค์ เพื่อแสดงรายงานทางการเงิน และส่วนได้เสียของกลุ่มบริษัทที่มีการถือหุ้นระหว่างกันนอกเหนือจากการจัดทำงบ
การเงินเดี่ยวของแต่ละ บริษัท ทั้งนี้บริษัทที่เข้าซื้อหุ้นในบริษัทอื่นเพื่อที่จะเข้า
ควบคุมการดำเนินงานนั้นเรียกว่า “บริษัทใหญ่” และ บริษัทเจ้าของหุ้นที่ถูกเข้า
ควบคุมงานเรียกว่าเป็น “บริษัทย่อย” บริษัทต่างๆ เหล่านี้ที่มีความสัมพันธ์กันเรียกว่า
เป็นบริษัทในเครือ (Affiliates) โดยปกติบริษัทย่อยมักหมายถึงบริษัทที่บริษัทใหญ
่ถือหุ้นเกินกว่า 50% หุ้นที่เหลือเรียกว่าผู้ถือหุ้นส่วนน้อย (Minority Interest) เนื่องจากกฎหมายระบุว่ากิจการแต่ละแห่งมีสถานะทางการกฎหมายที่
แยกจากกัน โดยบริษัทใหญ่และบริษัทย่อยต่างก็มีฐานะเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน
นิติบุคคลจากกัน มีหน้าที่ที่ต้องจัดทำงบการเงินของตนเองเสนอต่อผู้ถือหุ้นและหน่วย
ราชการที่เกี่ยวข้อง เมื่อบริษัทใหญ่ซื้อหุ้นสามัญซึ่งเป็นหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงของบริษัท
ย่อย บริษัทใหญ่จะบันทึกบัญชี เงินทุนและแสดงเป็นสินทรัพย์ในงบดุลของบริษัทใหญ
่ หรืองบดุลของบริษัทย่อย เพราะงบดุลของบริษัทใหญ่และงบดุลของบริษัทย่อยต่างมี
ความสมบูรณ์ในตัวเอง ทั้งด้านกฎหมาย ภาษีอากรและด้านธุรกิจ แต่งบดุลรวมจะสามารถบ่งบอกฐานะการเงินของกลุ่มกิจการซึ่งประกอบด้วยบริษัทใหญ
่และบริษัทย่อยทั้งหมดได้
ส่วนบริษัทร่วม (Associated Company) หมายถึง บริษัทที่บริษัทใหญ
่เข้าไปถือหุ้นอยู่เป็นจำนวนเกินกว่า 20% แต่ไม่เกิน 50% ของทุนจดทะเบียนของ
บริษัทนั้น และด้วยวัตถุประสงค์ที่จะถือไว้เป็นเงินลงทุนระยะยาว โดยทั่วไปเมื่อบร
ิษัทใหญ่เข้าไปถือหุ้นในบริษัทร่วม บริษัทใหญ่นั้นไม่จำเป็นต้องทำงบการเงินรวมเพียง
แต่บันทึกและแสดงส่วนที่ลงทุน
ในบริษัทร่วมในบัญชีเงินลงทุนตามที่ระบุใน มาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 45 เรื่อง “การ
บัญชีสำหรับเงินลงทุนในบริษัทร่วม”เพียง บริษัทย่อยที่บริษัทใหญ่ตั้งใจจะควบคุมเป็น
การชั่วคราว เนื่องจากบริษัทใหญ่ซื้อหรือ ถือบริษัทย่อยดำเนินงานภายใต้ข้อกำหนดที่
เข้มงวดจากภายนอก ทำให้บริษัทย่อย มีข้อจำกัดในการโอนเงินให้แก่บริษัทใหญ่ 4.
มาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 44 กำหนดว่า
แม้ว่าบริษัทย่อยจะมีการดำเนิน ธุรกิจแตกต่างจากบริษัทอื่นที่อยู่ในกลุ่มกิจการ
การทำงบการเงินรวมยังคงให้ ประโยชน์ เนื่องจากข้อมูลที่แสดงในงบการเงินรวมที่รวม
บริษัทย่อย และข้อมูล ที่แสดงในงบการเงินรวมที่รวมบริษัทย่อย และข้อมูลเพิ่มเติมที่
เปิดเผยในงบการเงิน รวมเกี่ยวกับ ความแตกต่างในการดำเนินธุรกิจเป็นข้อมูลที่ให้ประ
โยชน์ต่อผู้ใช้งบ การเงินมากขึ้น ทั้งนี้ความเห็นของมาตรฐานในข้อนี้อาจแตกต่างจาก
นักบัญชีบางท่าน ซึ่งเห็นว่า การดำเนินงานของบริษัทที่จะทำงบการเงินรวม จะต้องม
ีความสัมพันธ์กันหรือมีลักษณะใกล้เคียงกัน เช่น ถ้าบริษัทใหญ่เป็นบริษัททำเกษตรกรรม
แต่บริษัทย่อยเป็นกิจการประกันภัย
ดังนั้นการนำสินทรัพย์ของบริษัทใหญ่ เช่นที่ดิน อาคาร เครื่องจักร สินค้า มารวมกับสิน
ทรัพย์ของกิจการประกันภัยนั้น จะไม่ให้ประโยชน์กับผู้อ่านงบการเงินรวมเลย ฉะนั้นข้อสรุปโดยทั่วไปเพื่อให้ผู้จัดทำงบหรือผู้อ่านงบการเงินเข้าใจคือ ถ้าบริษัทใหญ
่ถือหุ้นในบริษัทอื่นเกินกว่า 50% ให้ถือว่าบริษัทนั้นเป็นบริษัทย่อยและให้จัดทำงบการ
เงินรวม ถ้าบริษัทใหญ่ถือหุ้นในบริษัทร่วมในสัดส่วน 20% แต่ไม่เกิน 50% นั้น ไม่จำ
เป็นต้องจัดทำงบการเงินรวม แต่ให้บริษัทใหญ่บันทึกบัญชีเงินลงทุนในบริษัทร่วมตาม
วิธีส่วนได้เสีย (Equity Method) ทั้งนี้ให้เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 45 เรื่อง “การบัญชีสำหรับเงินลงทุนในบริษัทร่วม”
เงื่อนไขในการจัดทำงบการเงินรวม
แม้ว่างบการเงินรวมจะมีประโยชน์จากการนำเสนอฐานะการเงิน และผล การดำเนินงาน
ของกลุ่มกิจการเสมือนว่าเป็นกิจการเดียว แต่การทำงบการเงินรวมจะ เพิ่มต้นทุนการจัด
ทำให้กับกิจการ ดังนั้นจึงควรกำหนดเงื่อนไขว่าเมื่อใดควรจัดทำงบ การเงินรวม โดยเงื่อนไขดังกล่าวตามมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 44 มีดังนี้
1. หลักที่สำคัญในการพิจารณาว่าควรทำงบการเงินรวม คือบริษัทใหญ่ต้องมีอำนาจควบคุมกิจการของบริษัทย่อยคำว่าอำนาจควบคุมในที่นี้ หมายถึง“อำนาจในการกำหนดนโยบายทางการเงิน และการดำเนินงานของกิจการ เพื่อ
ให้ได้มาซึ่งประโยชน์จากกิจกรรมต่างๆ ของกิจการนั้น “ โดยทั่วไปแล้วหากบริษัท ใหญ
่มีสิทธิออกเสียงเกินกว่า 50% ในบริษัทย่อยไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม ให้พิจารณาว่าบริษัทใหญ่มีอำนาจควบคุมกิจการของบริษัทย่อย ยกเว้นในกรณีที่มี หลัก
ฐานชัดเจนว่าบริษัทใหญ่ มีสิทธิออกเสียงมากแต่ไม่มีอำนาจในการควบคุม เช่น บริษัทใหญ่ซื้อหุ้นในบริษัทย่อยซึ่งดำเนินงานในต่างประเทศ แต่กฎหมายในประเทศ นั้นมีข้อจำกัดห้ามโอนสินทรัพย์ออกนอกประเทศ เช่นนี้ถือว่าบริษัทใหญ่ไม่มีอำนาจ
ในการควบคุมงาน การทำงบการเงินรวมก็อาจไม่เหมาะสมและไม่มีประโยชน์มากนัก
2. ในบางกรณีแม้ว่าบริษัทใหญ่จะมีสิทธิออกเสียงในอีกกิจการหนึ่งน้อยกว่า 50% ก็อาจถือได้ว่าบริษัทใหญ่มีอำนาจควบคุมกิจการอื่น เช่น บริษัทใหญ่มีอำนาจ ในการออก
เสียงมากกว่ากึ่งหนึ่ง เนื่องจากข้อตกลงที่มีกับผู้ถือหุ้นรายอื่น บริษัทใหญ่ มีอำนาจตามกฎ
หมาย หรือตามข้อตกลงในการกำหนดนโยบายทางการเงิน และการดำเนินงานของกิจการอื่น หรือบริษัทใหญ่มีอำนาจแต่งตั้งหรือถอดถอนบุคคล ส่วนใหญ่ ซึ่งทำหน้าที่เป็นกรรมการบริษัท หรือผู้บริหารอื่นที่มีหน้าที่เทียบเท่า กรรมการบริษัท เป็นต้น
3. ในการทำงบการเงินรวม บริษัทใหญ่ต้องรวมงบการเงินของบริษัทย่อย ทั้งใน และต่าง
ประเทศทั้งหมดไว้ในงบการเงินรวม ยกเว้นบริษัทย่อยนั้นเป็น
ประโยชน์ในการจัดทำงบการเงินรวม
การจัดทำงบการเงินรวมจะสามารถทำให้ผู้อ่านงบการเงิน รับรู้ถึงกิจกรรมทางบัญชี และสถานะการเงินของบริษัทใหญ่และบริษัทย่อยได้ดีกว่า และลึกซึ้งกว่าการอ่านงบการเงิน
เดี่ยวของบริษัท แนวคิดเริ่มแรกของการจัดทำงบการเงิน รวมก็เพื่อให้ปกป้องผลประโยชน์
ของผู้ถือหุ้น และเจ้าหนี้ของบริษัทใหญ่ ทั้งนี้เนื่องจากงบการเงินรวมจะทำให้ผู้ถือหุ้น และ
เจ้าหนี้ของบริษัทใหญ่เห็นภาพว่า ทรัพยากรเชิงเศรษฐกิจ ที่อยู่ในความควบคุมของบริษัท
ใหญ่มีเท่าใด ในทางบัญชีแล้ว แม้ว่าจะมีวิธีที่สามารถแสดงส่วนได้ส่วนเสียในบริษัทย่อย
ของบริษัทใหญ่ โดยการบันทึกบัญชี “เงินลงทุน” (ซึ่งก็ไม่ต้องทำงบการเงินรวม) อย่างไรก็ตามเมื่อบริษัทใหญ่ถือหุ้นในบริษัทย่อยหลายๆบริษัท การทำงบการเงินรวมอาจ
ถือว่าเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ผู้ถือหุ้น หรือเจ้าหนี้ของบริษัทใหญ่ได้ประโยชน์จากการอ่าน
งบการเงิน โดยสรุปแล้วการทำงบการเงินรวมจะมีประโยชน์ต่อบุคคลหลายๆ ฝ่าย ดังนี้
1. นักลงทุนระยะยาว งบการเงินรวมจะมีประโยชน์มากต่อนักลงทุนที่สนใจจะลงทุนระยะ
ยาวในบริษัทใหญ่ เนื่องจากผู้ถือหุ้นในปัจจุบันหรือผู้ที่จะลงทุนในบริษัทใหญ่ คือผู้ที่จะมี
ส่วนได้เสีย ในบริษัทใหญ่ และส่วนได้เสียที่บริษัทใหญ่เข้าไปถือหุ้นในบริษัทย่อย ทั้งนี้การที่บริษัทใหญ่จะมีผลประกอบการที่ดีนั้น มีส่วนมาจากผลประกอบการย่อย ของ
บริษัทย่อย หากบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิบริษัทใหญ่ก็ได้รับส่วนได้เสีย ในกำไรของบริษัทย่อย แต่ในทางตรงกันข้ามหากบริษัทย่อยเกิดขาดทุนขึ้น บริษัทใหญ่ก็จะรับรู้ส่วนได้เสียในขาด
ทุนของบริษัทย่อย การพิจารณางบการเงินรวมจึงทำให้ผู้ถือหุ้น สามารถพิจารณาลงทุนได้
อย่างมีประสิทธิผล
2. เจ้าหนี้ระยะยาวเจ้าหนี้ของบริษัทใหญ่ก็เช่นเดียวกัน ที่ต้องการทราบผลประกอบการของบริษัทย่อยในความควบคุมของบริษัทใหญ่ การทราบผลประกอบการของบริษัทย่อยผ่านการทำงบการเงินรวมเท่านั้น จะทำให้เจ้าหนี้ระยะยาวของบริษัทใหญ่สามารถประเมินความเสี่ยง และผลประกอบการของบริษัทใหญ่ได้สำหรับเจ้าหนี้ระยะสั้นนั้น ความจำเป็นในการอ่าน
งบการเงินรวมอาจไม่มากนัก เนื่องจากเจ้าหนี้ระยะสั้นจะสนใจต่อสภาพคล่องระยะสั้นของ
บริษัทใหญ่ มากกว่าผลประกอบการในอนาคตของบริษัทใหญ่ ฉะนั้นแม้ว่าเจ้าหนี้ระยะสั้นอาจได้ประโยชน์จากการอ่านงบการเงินรวม แต่ส่วนใหญ่แล้วเจ้าหนี้ระยะสั้นจะสนใจงบดุลเดี่ยวของบริษัทแม่
3. ผู้บริหารของบริษัทใหญ่ การจัดทำงบการเงินทั้งงบการเงินเดี่ยวและงบการเงินรวม
ล้วนมีประโยชน์ต่อ ผู้บริหารของบริษัทใหญ่ เช่น บริษัทย่อยหลายรายมีผลประกอบการที่
ผันผวนมาก กล่าวคือบางปีมีกำไรและบางปีมีขาดทุน ซึ่งถ้าไม่ดูงบการเงินรวมแล้วผู้บริหารของบริษัทใหญ่อาจไม่ทราบผลประกอบการโดยรวม
ที่แท้จริงของบริษัทย่อยเหล่านั้นได้ นอกจากนี้การทำงบการเงินรวมจะทำให้ผู้บริหารของบริษัท
ใหญ่ สามารถจัดหาแหล่งเงินทุนที่เหมาะสม เพื่อทำให้กลุ่มบริษัทสามารถมีต้นทุนทางการเงินต่ำ
ที่สุด
4. ผู้เกี่ยวข้องอื่น นอกจากผู้ถือหุ้นเจ้าหนี้และผู้บริหารจะสนใจอ่านงบการเงินรวมแล้ว นักวิเคราะห์ทางการเงินก็จำเป็นต้องทราบรายละเอียดผลประกอบการ ของกลุ่มบริษัทรัฐบาล
หรือองค์กรภาครัฐ เช่น กรมสรรพากร ตลาดหลักทรัพย์ ก.ล.ต. ล้วนแต่ต้องการทราบข้อมูลใน
งบการเงินรวมทั้งสิ้น
สรุป
งบการเงินรวมจัดทำขึ้นเพื่อให้ทราบถึงผลประกอบการของกลุ่มกิจการ โดยงบการเงินรวมนำเสนอเสมือนว่ากลุ่มกิจการนั้นเป็นกิจการเดียว หลักเกณฑ์ทางปฏิบัติการกำหนดว่าเมื่อใดควรจัดทำงบการเงินรวมคือ ถ้าบริษัทใหญ่ถือหุ้นใน
บริษัทอื่นเกินเกินกว่า 50% ให้ถือว่าบริษัทนั้นเป็นบริษัทอื่นเกินกว่า 50% ให้ถือว่าบริษัทนั้นเป็นบริษัทนั้นเป็นบริษัทย่อยและให้จัดทำงบการเงินรวม ถ้าบริษัทใหญ่ถือหุ้น
ในบริษัทร่วมในสัดส่วน 20% แต่ไม่เกิน 50% นั้น ไม่จำเป็นต้องจัดทำงบการเงินรวม แต่ให้บริษัทใหญ่บันทึกบัญชีเงินลงทุนในบริษัทร่วมตามมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 45 เรื่อง “การบัญชีสำหรับเงินลงทุนในบริษัทร่วม”
ที่มา : www.dip.go.th
www.bunchee.net : 2008
ทฤษฏีการจัดทำงบการเงินรวม
งบการเงินรวมเป็นรายงานทางการเงินที่จัดทำขึ้นเพื่อให้ทราบถึงผลประ
กอบการของกลุ่มกิจการ โดยงบการเงินรวมนำเสนอเสมือนว่ากลุ่มกิจการ
นั้นเป็นกิจการเดียว ฉะนั้นการ จัดทำงบการเงินรวมมีความสำคัญมากต่อการ
ที่นักวิเคราะห์ทางการเงิน หรือผู้ใช้งบการเงินที่ต้องการพิจารณางบการเงิน
ของกลุ่มกิจการ โดยประโยชน์ของการวิเคราะห์งบการเงิน ยังคงไม่แตกต่างจากประโยชน์การวิเคราะห์งบการเงินของกิจการใดกิจการหนึ่ง คือทำให้ผู้ใช้งบการเงินรวมสามารถนำผลการวิเคราะห์ไปใช้ตัดสินใจทางการเงิน
การเลือกลงทุนในกลุ่มกิจการ หรือใช้พยากรณ์อนาคตผลประกอบการและฐานะ
ทางการเงินของกลุ่มกิจการ หรือใช้เป็นเครื่องมือการวินิจฉัยปัญหา ของการบร
ิหารงาน การดำเนินงาน หรือใช้เป็นเครื่องมือประเมินผล (Evaluation) ของฝ่าย
บริหาร มาตรฐานการบัญชีปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับการทำงบการเงินรวมและการ
บัญชีสำหรับเงินลงทุนในบริษัทย่อยคือ ฉบับที่ 44 (ถือปฏิบัติเมื่อ 1 มกราคม
2543) ซึ่งใช้แทนมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 19 โดยมาตรฐานการบัญชีฉบับที่
44 นี้ ได้จัดทำขึ้นเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นโดยมาตรฐาน การบัญชีระหว่าง
ประเทศ ฉบับที่ 27 (IAS No. 27 “Consolidate Financial Statements and
Accounting for Investments in Subsidiaries” (Reformatted 1994) โดย
มาตรฐานไทยฉบับที่ 44 มีเนื้อหาสาระสำคัญไม่แตกต่างจากมาตรฐานการบัญช
ีระหว่างประเทศ ยกเว้นมาตรฐานไทยจะกำหนดให้ส่วนได้เสียของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย
ต้องแสดงเป็น
รายการแยกต่างหากต่อจากกำไรสะสม ภายใต้ส่วนของเจ้าของ ในงบการเงิน
รวมเพื่อให้สอดคล้องกับแม่บทการบัญชี ในบทความนี้จะอธิบายถึงลักษณะของ
งบการเงินรวม โดยจะเน้นให้ความรู้เบื้องต้นก่อน เพื่อเป็นแนวทางในการศึกษา
การจัดทำและการวิเคราะห์งบการเงินรวมต่อไป
วัตถุประสงค์ของการจัดทำงบการเงินรวม
การจัดทำงบการเงินรวมมีวัตถุประสงค์ เพื่อแสดงรายงานทางการเงิน และส่วนได้เสียของกลุ่มบริษัทที่มีการถือหุ้นระหว่างกันนอกเหนือจากการจัดทำงบ
การเงินเดี่ยวของแต่ละ บริษัท ทั้งนี้บริษัทที่เข้าซื้อหุ้นในบริษัทอื่นเพื่อที่จะเข้า
ควบคุมการดำเนินงานนั้นเรียกว่า “บริษัทใหญ่” และ บริษัทเจ้าของหุ้นที่ถูกเข้า
ควบคุมงานเรียกว่าเป็น “บริษัทย่อย” บริษัทต่างๆ เหล่านี้ที่มีความสัมพันธ์กันเรียกว่า
เป็นบริษัทในเครือ (Affiliates) โดยปกติบริษัทย่อยมักหมายถึงบริษัทที่บริษัทใหญ
่ถือหุ้นเกินกว่า 50% หุ้นที่เหลือเรียกว่าผู้ถือหุ้นส่วนน้อย (Minority Interest) เนื่องจากกฎหมายระบุว่ากิจการแต่ละแห่งมีสถานะทางการกฎหมายที่
แยกจากกัน โดยบริษัทใหญ่และบริษัทย่อยต่างก็มีฐานะเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน
นิติบุคคลจากกัน มีหน้าที่ที่ต้องจัดทำงบการเงินของตนเองเสนอต่อผู้ถือหุ้นและหน่วย
ราชการที่เกี่ยวข้อง เมื่อบริษัทใหญ่ซื้อหุ้นสามัญซึ่งเป็นหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงของบริษัท
ย่อย บริษัทใหญ่จะบันทึกบัญชี เงินทุนและแสดงเป็นสินทรัพย์ในงบดุลของบริษัทใหญ
่ หรืองบดุลของบริษัทย่อย เพราะงบดุลของบริษัทใหญ่และงบดุลของบริษัทย่อยต่างมี
ความสมบูรณ์ในตัวเอง ทั้งด้านกฎหมาย ภาษีอากรและด้านธุรกิจ แต่งบดุลรวมจะสามารถบ่งบอกฐานะการเงินของกลุ่มกิจการซึ่งประกอบด้วยบริษัทใหญ
่และบริษัทย่อยทั้งหมดได้
ส่วนบริษัทร่วม (Associated Company) หมายถึง บริษัทที่บริษัทใหญ
่เข้าไปถือหุ้นอยู่เป็นจำนวนเกินกว่า 20% แต่ไม่เกิน 50% ของทุนจดทะเบียนของ
บริษัทนั้น และด้วยวัตถุประสงค์ที่จะถือไว้เป็นเงินลงทุนระยะยาว โดยทั่วไปเมื่อบร
ิษัทใหญ่เข้าไปถือหุ้นในบริษัทร่วม บริษัทใหญ่นั้นไม่จำเป็นต้องทำงบการเงินรวมเพียง
แต่บันทึกและแสดงส่วนที่ลงทุน
ในบริษัทร่วมในบัญชีเงินลงทุนตามที่ระบุใน มาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 45 เรื่อง “การ
บัญชีสำหรับเงินลงทุนในบริษัทร่วม”เพียง บริษัทย่อยที่บริษัทใหญ่ตั้งใจจะควบคุมเป็น
การชั่วคราว เนื่องจากบริษัทใหญ่ซื้อหรือ ถือบริษัทย่อยดำเนินงานภายใต้ข้อกำหนดที่
เข้มงวดจากภายนอก ทำให้บริษัทย่อย มีข้อจำกัดในการโอนเงินให้แก่บริษัทใหญ่ 4.
มาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 44 กำหนดว่า
แม้ว่าบริษัทย่อยจะมีการดำเนิน ธุรกิจแตกต่างจากบริษัทอื่นที่อยู่ในกลุ่มกิจการ
การทำงบการเงินรวมยังคงให้ ประโยชน์ เนื่องจากข้อมูลที่แสดงในงบการเงินรวมที่รวม
บริษัทย่อย และข้อมูล ที่แสดงในงบการเงินรวมที่รวมบริษัทย่อย และข้อมูลเพิ่มเติมที่
เปิดเผยในงบการเงิน รวมเกี่ยวกับ ความแตกต่างในการดำเนินธุรกิจเป็นข้อมูลที่ให้ประ
โยชน์ต่อผู้ใช้งบ การเงินมากขึ้น ทั้งนี้ความเห็นของมาตรฐานในข้อนี้อาจแตกต่างจาก
นักบัญชีบางท่าน ซึ่งเห็นว่า การดำเนินงานของบริษัทที่จะทำงบการเงินรวม จะต้องม
ีความสัมพันธ์กันหรือมีลักษณะใกล้เคียงกัน เช่น ถ้าบริษัทใหญ่เป็นบริษัททำเกษตรกรรม
แต่บริษัทย่อยเป็นกิจการประกันภัย
ดังนั้นการนำสินทรัพย์ของบริษัทใหญ่ เช่นที่ดิน อาคาร เครื่องจักร สินค้า มารวมกับสิน
ทรัพย์ของกิจการประกันภัยนั้น จะไม่ให้ประโยชน์กับผู้อ่านงบการเงินรวมเลย ฉะนั้นข้อสรุปโดยทั่วไปเพื่อให้ผู้จัดทำงบหรือผู้อ่านงบการเงินเข้าใจคือ ถ้าบริษัทใหญ
่ถือหุ้นในบริษัทอื่นเกินกว่า 50% ให้ถือว่าบริษัทนั้นเป็นบริษัทย่อยและให้จัดทำงบการ
เงินรวม ถ้าบริษัทใหญ่ถือหุ้นในบริษัทร่วมในสัดส่วน 20% แต่ไม่เกิน 50% นั้น ไม่จำ
เป็นต้องจัดทำงบการเงินรวม แต่ให้บริษัทใหญ่บันทึกบัญชีเงินลงทุนในบริษัทร่วมตาม
วิธีส่วนได้เสีย (Equity Method) ทั้งนี้ให้เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 45 เรื่อง “การบัญชีสำหรับเงินลงทุนในบริษัทร่วม”
เงื่อนไขในการจัดทำงบการเงินรวม
แม้ว่างบการเงินรวมจะมีประโยชน์จากการนำเสนอฐานะการเงิน และผล การดำเนินงาน
ของกลุ่มกิจการเสมือนว่าเป็นกิจการเดียว แต่การทำงบการเงินรวมจะ เพิ่มต้นทุนการจัด
ทำให้กับกิจการ ดังนั้นจึงควรกำหนดเงื่อนไขว่าเมื่อใดควรจัดทำงบ การเงินรวม โดยเงื่อนไขดังกล่าวตามมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 44 มีดังนี้
1. หลักที่สำคัญในการพิจารณาว่าควรทำงบการเงินรวม คือบริษัทใหญ่ต้องมีอำนาจควบคุมกิจการของบริษัทย่อยคำว่าอำนาจควบคุมในที่นี้ หมายถึง“อำนาจในการกำหนดนโยบายทางการเงิน และการดำเนินงานของกิจการ เพื่อ
ให้ได้มาซึ่งประโยชน์จากกิจกรรมต่างๆ ของกิจการนั้น “ โดยทั่วไปแล้วหากบริษัท ใหญ
่มีสิทธิออกเสียงเกินกว่า 50% ในบริษัทย่อยไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม ให้พิจารณาว่าบริษัทใหญ่มีอำนาจควบคุมกิจการของบริษัทย่อย ยกเว้นในกรณีที่มี หลัก
ฐานชัดเจนว่าบริษัทใหญ่ มีสิทธิออกเสียงมากแต่ไม่มีอำนาจในการควบคุม เช่น บริษัทใหญ่ซื้อหุ้นในบริษัทย่อยซึ่งดำเนินงานในต่างประเทศ แต่กฎหมายในประเทศ นั้นมีข้อจำกัดห้ามโอนสินทรัพย์ออกนอกประเทศ เช่นนี้ถือว่าบริษัทใหญ่ไม่มีอำนาจ
ในการควบคุมงาน การทำงบการเงินรวมก็อาจไม่เหมาะสมและไม่มีประโยชน์มากนัก
2. ในบางกรณีแม้ว่าบริษัทใหญ่จะมีสิทธิออกเสียงในอีกกิจการหนึ่งน้อยกว่า 50% ก็อาจถือได้ว่าบริษัทใหญ่มีอำนาจควบคุมกิจการอื่น เช่น บริษัทใหญ่มีอำนาจ ในการออก
เสียงมากกว่ากึ่งหนึ่ง เนื่องจากข้อตกลงที่มีกับผู้ถือหุ้นรายอื่น บริษัทใหญ่ มีอำนาจตามกฎ
หมาย หรือตามข้อตกลงในการกำหนดนโยบายทางการเงิน และการดำเนินงานของกิจการอื่น หรือบริษัทใหญ่มีอำนาจแต่งตั้งหรือถอดถอนบุคคล ส่วนใหญ่ ซึ่งทำหน้าที่เป็นกรรมการบริษัท หรือผู้บริหารอื่นที่มีหน้าที่เทียบเท่า กรรมการบริษัท เป็นต้น
3. ในการทำงบการเงินรวม บริษัทใหญ่ต้องรวมงบการเงินของบริษัทย่อย ทั้งใน และต่าง
ประเทศทั้งหมดไว้ในงบการเงินรวม ยกเว้นบริษัทย่อยนั้นเป็น
ประโยชน์ในการจัดทำงบการเงินรวม
การจัดทำงบการเงินรวมจะสามารถทำให้ผู้อ่านงบการเงิน รับรู้ถึงกิจกรรมทางบัญชี และสถานะการเงินของบริษัทใหญ่และบริษัทย่อยได้ดีกว่า และลึกซึ้งกว่าการอ่านงบการเงิน
เดี่ยวของบริษัท แนวคิดเริ่มแรกของการจัดทำงบการเงิน รวมก็เพื่อให้ปกป้องผลประโยชน์
ของผู้ถือหุ้น และเจ้าหนี้ของบริษัทใหญ่ ทั้งนี้เนื่องจากงบการเงินรวมจะทำให้ผู้ถือหุ้น และ
เจ้าหนี้ของบริษัทใหญ่เห็นภาพว่า ทรัพยากรเชิงเศรษฐกิจ ที่อยู่ในความควบคุมของบริษัท
ใหญ่มีเท่าใด ในทางบัญชีแล้ว แม้ว่าจะมีวิธีที่สามารถแสดงส่วนได้ส่วนเสียในบริษัทย่อย
ของบริษัทใหญ่ โดยการบันทึกบัญชี “เงินลงทุน” (ซึ่งก็ไม่ต้องทำงบการเงินรวม) อย่างไรก็ตามเมื่อบริษัทใหญ่ถือหุ้นในบริษัทย่อยหลายๆบริษัท การทำงบการเงินรวมอาจ
ถือว่าเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ผู้ถือหุ้น หรือเจ้าหนี้ของบริษัทใหญ่ได้ประโยชน์จากการอ่าน
งบการเงิน โดยสรุปแล้วการทำงบการเงินรวมจะมีประโยชน์ต่อบุคคลหลายๆ ฝ่าย ดังนี้
1. นักลงทุนระยะยาว งบการเงินรวมจะมีประโยชน์มากต่อนักลงทุนที่สนใจจะลงทุนระยะ
ยาวในบริษัทใหญ่ เนื่องจากผู้ถือหุ้นในปัจจุบันหรือผู้ที่จะลงทุนในบริษัทใหญ่ คือผู้ที่จะมี
ส่วนได้เสีย ในบริษัทใหญ่ และส่วนได้เสียที่บริษัทใหญ่เข้าไปถือหุ้นในบริษัทย่อย ทั้งนี้การที่บริษัทใหญ่จะมีผลประกอบการที่ดีนั้น มีส่วนมาจากผลประกอบการย่อย ของ
บริษัทย่อย หากบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิบริษัทใหญ่ก็ได้รับส่วนได้เสีย ในกำไรของบริษัทย่อย แต่ในทางตรงกันข้ามหากบริษัทย่อยเกิดขาดทุนขึ้น บริษัทใหญ่ก็จะรับรู้ส่วนได้เสียในขาด
ทุนของบริษัทย่อย การพิจารณางบการเงินรวมจึงทำให้ผู้ถือหุ้น สามารถพิจารณาลงทุนได้
อย่างมีประสิทธิผล
2. เจ้าหนี้ระยะยาวเจ้าหนี้ของบริษัทใหญ่ก็เช่นเดียวกัน ที่ต้องการทราบผลประกอบการของบริษัทย่อยในความควบคุมของบริษัทใหญ่ การทราบผลประกอบการของบริษัทย่อยผ่านการทำงบการเงินรวมเท่านั้น จะทำให้เจ้าหนี้ระยะยาวของบริษัทใหญ่สามารถประเมินความเสี่ยง และผลประกอบการของบริษัทใหญ่ได้สำหรับเจ้าหนี้ระยะสั้นนั้น ความจำเป็นในการอ่าน
งบการเงินรวมอาจไม่มากนัก เนื่องจากเจ้าหนี้ระยะสั้นจะสนใจต่อสภาพคล่องระยะสั้นของ
บริษัทใหญ่ มากกว่าผลประกอบการในอนาคตของบริษัทใหญ่ ฉะนั้นแม้ว่าเจ้าหนี้ระยะสั้นอาจได้ประโยชน์จากการอ่านงบการเงินรวม แต่ส่วนใหญ่แล้วเจ้าหนี้ระยะสั้นจะสนใจงบดุลเดี่ยวของบริษัทแม่
3. ผู้บริหารของบริษัทใหญ่ การจัดทำงบการเงินทั้งงบการเงินเดี่ยวและงบการเงินรวม
ล้วนมีประโยชน์ต่อ ผู้บริหารของบริษัทใหญ่ เช่น บริษัทย่อยหลายรายมีผลประกอบการที่
ผันผวนมาก กล่าวคือบางปีมีกำไรและบางปีมีขาดทุน ซึ่งถ้าไม่ดูงบการเงินรวมแล้วผู้บริหารของบริษัทใหญ่อาจไม่ทราบผลประกอบการโดยรวม
ที่แท้จริงของบริษัทย่อยเหล่านั้นได้ นอกจากนี้การทำงบการเงินรวมจะทำให้ผู้บริหารของบริษัท
ใหญ่ สามารถจัดหาแหล่งเงินทุนที่เหมาะสม เพื่อทำให้กลุ่มบริษัทสามารถมีต้นทุนทางการเงินต่ำ
ที่สุด
4. ผู้เกี่ยวข้องอื่น นอกจากผู้ถือหุ้นเจ้าหนี้และผู้บริหารจะสนใจอ่านงบการเงินรวมแล้ว นักวิเคราะห์ทางการเงินก็จำเป็นต้องทราบรายละเอียดผลประกอบการ ของกลุ่มบริษัทรัฐบาล
หรือองค์กรภาครัฐ เช่น กรมสรรพากร ตลาดหลักทรัพย์ ก.ล.ต. ล้วนแต่ต้องการทราบข้อมูลใน
งบการเงินรวมทั้งสิ้น
สรุป
งบการเงินรวมจัดทำขึ้นเพื่อให้ทราบถึงผลประกอบการของกลุ่มกิจการ โดยงบการเงินรวมนำเสนอเสมือนว่ากลุ่มกิจการนั้นเป็นกิจการเดียว หลักเกณฑ์ทางปฏิบัติการกำหนดว่าเมื่อใดควรจัดทำงบการเงินรวมคือ ถ้าบริษัทใหญ่ถือหุ้นใน
บริษัทอื่นเกินเกินกว่า 50% ให้ถือว่าบริษัทนั้นเป็นบริษัทอื่นเกินกว่า 50% ให้ถือว่าบริษัทนั้นเป็นบริษัทนั้นเป็นบริษัทย่อยและให้จัดทำงบการเงินรวม ถ้าบริษัทใหญ่ถือหุ้น
ในบริษัทร่วมในสัดส่วน 20% แต่ไม่เกิน 50% นั้น ไม่จำเป็นต้องจัดทำงบการเงินรวม แต่ให้บริษัทใหญ่บันทึกบัญชีเงินลงทุนในบริษัทร่วมตามมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 45 เรื่อง “การบัญชีสำหรับเงินลงทุนในบริษัทร่วม”
ที่มา : www.dip.go.th
www.bunchee.net : 2008
IMF เตือนอีก 10 ปี ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นสองเท่า
เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์เดอะการ์เดี้ยนของอังกฤษ รายงานว่า ไอเอฟเอ็มเตือนอีก 10 ปี ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นเป็นสองเท่า สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์
โดยการคาดการณ์ดังกล่าว เปิดเผยออกมาพร้อมกับงานวิจัยภายในของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ ซึ่งได้ใช้แบบจำลองคาดการณ์ราคาน้ำมันจากปัจจุบันไปจนถึงปี 2022 หรืออีก 10 ปีข้างหน้า พบว่า แม้ว่าปัจจุบันราคาน้ำมันในตลาดโลกจะซื้อขายกันอยู่ที่ 113 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งลดลงจากต้นปีอยู่หน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นอัตราการซื้อขายที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และในอีก 10 ปีข้างหน้า ราคาน้ำมันจะเพิ่มสูงขึ้นอีกเป็นสองเท่า ซ้ำร้ายระดับราคาก็จะคงอยู่ถาวรอย่างนั้น ไม่อ่อนตัวลงเหมือนที่ผ่านมา
จากรายงาน "อนาคตของน้ำมัน: ธรณีวิทยากับเทคโนโลยี" ของไอเอ็มเอฟ ระบุว่า "แม้ว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกจะไม่แน่นอน แต่ที่ผ่านมาโลกไม่เคยประสบกับภาวะราคาน้ำมันเพิ่มสูงเกิน 2-3 เดือน แบบจำลองของเราแสดงให้สถานการณ์ราคาน้ำมันตลอด 10 ปีที่ผ่านมา และเมื่อนำมาเทียบเคียงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงก็พบว่ามันมีความแม่นยำมาก ดังนั้น หากแบบจำลองนี้มีความถูกต้องแล้ว อนาคตเราก็คงจะเผชิญกับสถานการณ์น้ำมันที่ลำบากไม่น้อย"
ทั้งนี้ แบบจำลองของไอเอ็มเอฟที่ใช้คาดการณ์ราคาน้ำมันนี้ ไม่ได้นำปัจจัยเรื่องภาวะพีคออยล์ หรือภาวะน้ำมันดิบในแหล่งน้ำมันลดน้อยลงจนเหลือเพียงส่วนที่ยากต่อการนำมาใช้ มาพิจารณาร่วมด้วย เพราะเชื่อว่าระดับราคาน้ำมันที่สามารถขายได้จะเป็นตัวกำหนดอัตราการขุดเจาะน้ำมันจากแหล่งน้ำมัน จึงทำให้ปัญหา พีค ออยล์ ไม่กระทบต่อราคาน้ำมันที่แท้จริงเท่าไรนัก
อย่างไรก็ดี รายงานชิ้นนี้ได้ระบุไว้ด้วยว่า ไม่ให้ยึดถือว่าเป็นทรรศนะของไอเอ็มเอฟ และไม่ควรจะรายงานว่าเป็นมุมมองของไอเอ็มเอฟ แต่ผู้ทำการวิจัยและจัดทำแบบทดลองครั้งนี้ล้วนเป็นนักวิจัยที่มีชื่อเสียง โดยหนึ่งในทีมวิจัยนี้ มีชื่อของนายจาโรเมียร์ บีนส์ อดีตหัวหน้าสำนักงานจัดทำแบบจำลองทางเศรษฐกิจมหภาคของธนาคารแห่งชาติเช็ค ซึ่งปัจจุบันทำงานอยู่ในกองทุนการเงินระหว่างประเทศในวอชิงตัน
http://www.siam1.net/read.php?tid=19679
โดยการคาดการณ์ดังกล่าว เปิดเผยออกมาพร้อมกับงานวิจัยภายในของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ ซึ่งได้ใช้แบบจำลองคาดการณ์ราคาน้ำมันจากปัจจุบันไปจนถึงปี 2022 หรืออีก 10 ปีข้างหน้า พบว่า แม้ว่าปัจจุบันราคาน้ำมันในตลาดโลกจะซื้อขายกันอยู่ที่ 113 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งลดลงจากต้นปีอยู่หน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นอัตราการซื้อขายที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และในอีก 10 ปีข้างหน้า ราคาน้ำมันจะเพิ่มสูงขึ้นอีกเป็นสองเท่า ซ้ำร้ายระดับราคาก็จะคงอยู่ถาวรอย่างนั้น ไม่อ่อนตัวลงเหมือนที่ผ่านมา
จากรายงาน "อนาคตของน้ำมัน: ธรณีวิทยากับเทคโนโลยี" ของไอเอ็มเอฟ ระบุว่า "แม้ว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกจะไม่แน่นอน แต่ที่ผ่านมาโลกไม่เคยประสบกับภาวะราคาน้ำมันเพิ่มสูงเกิน 2-3 เดือน แบบจำลองของเราแสดงให้สถานการณ์ราคาน้ำมันตลอด 10 ปีที่ผ่านมา และเมื่อนำมาเทียบเคียงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงก็พบว่ามันมีความแม่นยำมาก ดังนั้น หากแบบจำลองนี้มีความถูกต้องแล้ว อนาคตเราก็คงจะเผชิญกับสถานการณ์น้ำมันที่ลำบากไม่น้อย"
ทั้งนี้ แบบจำลองของไอเอ็มเอฟที่ใช้คาดการณ์ราคาน้ำมันนี้ ไม่ได้นำปัจจัยเรื่องภาวะพีคออยล์ หรือภาวะน้ำมันดิบในแหล่งน้ำมันลดน้อยลงจนเหลือเพียงส่วนที่ยากต่อการนำมาใช้ มาพิจารณาร่วมด้วย เพราะเชื่อว่าระดับราคาน้ำมันที่สามารถขายได้จะเป็นตัวกำหนดอัตราการขุดเจาะน้ำมันจากแหล่งน้ำมัน จึงทำให้ปัญหา พีค ออยล์ ไม่กระทบต่อราคาน้ำมันที่แท้จริงเท่าไรนัก
อย่างไรก็ดี รายงานชิ้นนี้ได้ระบุไว้ด้วยว่า ไม่ให้ยึดถือว่าเป็นทรรศนะของไอเอ็มเอฟ และไม่ควรจะรายงานว่าเป็นมุมมองของไอเอ็มเอฟ แต่ผู้ทำการวิจัยและจัดทำแบบทดลองครั้งนี้ล้วนเป็นนักวิจัยที่มีชื่อเสียง โดยหนึ่งในทีมวิจัยนี้ มีชื่อของนายจาโรเมียร์ บีนส์ อดีตหัวหน้าสำนักงานจัดทำแบบจำลองทางเศรษฐกิจมหภาคของธนาคารแห่งชาติเช็ค ซึ่งปัจจุบันทำงานอยู่ในกองทุนการเงินระหว่างประเทศในวอชิงตัน
http://www.siam1.net/read.php?tid=19679
IMF เตือนผลกระทบจากแผนรัดเข็มขัด
สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากการกล่าวของ นายจอห์น ไซมอน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ ที่ออกมาเตือนว่า มาตรการรัดเข็มขัดที่หลายประเทศนำมาใช้เพื่อควบคุมยอดขาดดุลงบประมาณ อาจเป็นอุปสรรคขัดขวางการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ไซมอน กล่าวในโอกาสนำเสนอรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกครั้งล่าสุด ที่ กรุงเวียนนาว่า การปรับงบประมาณให้สมดุล เป็นเหมือนเส้นบาง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับประเทศพัฒนาแล้ว ดังนั้น จึงไม่ควรใช้มาตรการรัดเข็มขัดมาก หรือ น้อยจนเกินไป และไม่ควรเร็ว หรือ ช้าเกินไป ทั้งนี้ ไอเอ็มเอฟ ได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลก สำหรับปี 2555 และ 2556 แต่ก็เตือนว่า วิกฤติหนี้สินในยูโรโซนและราคาน้ำมันดิบที่อยู่ในระดับสูงอาจทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกต้องสะดุดลง
http://news.sanook.com/1113070/IMF-%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%87%E0%B8%A1%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%94-/
http://news.sanook.com/1113070/IMF-%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%87%E0%B8%A1%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%94-/
IMF-WORLD BANK เตือนความเสี่ยงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
IMF-WORLD BANK เตือนความเสี่ยงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
บรรดาผู้นำภาคการเงินของธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เตือนว่ายังมีปัญหามากมายที่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลก
การประชุมประจำปีฤดูใบไม้ผลิระหว่างธนาคารโลก กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ซึ่งปิดฉากไปเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา บรรดาผู้นำภาคการเงินไม่ว่าจะเป็นนาย Robert Zoellick ประธานธนาคารโลก หรือนาย Dominique Strauss Kahn ผู้อำนวยการ IMF ต่างก็เตือนว่า ราคาอาหารที่พุ่งสูงขึ้น,ภาวะการว่างงาน,ความปั่นป่วนวุ่นวายในตะวันออกกลาง และปัญหาการเงินที่อ่อนแอ ยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะปัญหาในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น ก็จะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจลดลงประมาณ 0.3 และ 1.2 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2011 และปี 2012 ซึ่งนาย Zoellick ได้เรียกร้องให้ร่วมกันสนับสุนนการปฏิรูปในตะวันออกกลาง และช่วยกันกำหนดสัญญาประชาคมใหม่ อย่ารอให้สถานการณ์ในตะวันออกกลางไปสู่การมีเสถียรภาพเอง เพราะนั้นคือการสูญเสียโอกาส
http://www.classifiedthai.com/content.php?news=22720
บรรดาผู้นำภาคการเงินของธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เตือนว่ายังมีปัญหามากมายที่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลก
การประชุมประจำปีฤดูใบไม้ผลิระหว่างธนาคารโลก กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ซึ่งปิดฉากไปเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา บรรดาผู้นำภาคการเงินไม่ว่าจะเป็นนาย Robert Zoellick ประธานธนาคารโลก หรือนาย Dominique Strauss Kahn ผู้อำนวยการ IMF ต่างก็เตือนว่า ราคาอาหารที่พุ่งสูงขึ้น,ภาวะการว่างงาน,ความปั่นป่วนวุ่นวายในตะวันออกกลาง และปัญหาการเงินที่อ่อนแอ ยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะปัญหาในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น ก็จะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจลดลงประมาณ 0.3 และ 1.2 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2011 และปี 2012 ซึ่งนาย Zoellick ได้เรียกร้องให้ร่วมกันสนับสุนนการปฏิรูปในตะวันออกกลาง และช่วยกันกำหนดสัญญาประชาคมใหม่ อย่ารอให้สถานการณ์ในตะวันออกกลางไปสู่การมีเสถียรภาพเอง เพราะนั้นคือการสูญเสียโอกาส
http://www.classifiedthai.com/content.php?news=22720
บทธนาคารโลก World Bank กับการเมืองไทย
บทธนาคารโลก World Bank กับการเมืองไทย
ธนาคารโลกก่อตั้งขึ้นมาจากการประชุมที่เบร็ตตันวูดส์ รัฐนิวแฮมเซียร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2487 การประชุมครั้งนี้ได้ร่างกฎบัตรขึ้นมาสองฉบับสำหรับธนาคารโลก ซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่าธนาคารระหว่างประเทศเพื่อการบูรณะและพัฒนา (International Bank for Reconstruction and Development-IBRD) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund-IMF) ตอนที่มีการก่อตั้งสถาบันการเงินทั้งสองขึ้นมาที่เบร็ตตันวูดส์นั้น ทั้งสองสถาบันมีการแบ่งความรับผิดชอบกันอย่างชัดเจน กองทุนจะให้การสนับสนุนทางการเงินระยะสั้น เพื่อช่วยประเทศต่าง ๆ แก้ปัญหาดุลการชำระเงินในขณะที่ธนาคารโลกจะให้ทุนสนับสนุนการพัฒนาระยะกลางและระยะยาวในรูปแบบเงินกู้ยืม โครงการพัฒนาที่เน้นเฉพาะเป็นโครงการไป โดยเข้าไปช่วยเหลือประเทศต่างๆ ในยุโรปที่ประสบภัยพิบัติจากสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ต่อมาให้เงินกู้แก่ประเทศต่างๆ ในโลกที่สามเป็นสำคัญ โครงการพัฒนาส่วนใหญ่ที่ได้รับเงินให้กู้จากธนาคารโลก เป็นโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ (Infrastructure Investment) ดังเช่นถนนและทางหลวง ระบบสาธารณูปโภค ระบบชลประทาน เป็นต้น
สถาบันการเงินในธนาคารโลก ประกอบด้วยสถาบันต่างๆ รวม 4 แห่ง ประกอบด้วย
1. ธนาคารเพื่อการบูรณะและพัฒนาระหว่างประเทศ (IBRD-ก่อตั้งค.ศ.1945)
2. บรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (IFC-ค.ศ.1956)
3. สมาคมพัฒนาระหว่างประเทศ (IDA-ค.ศ.1960)
4. องค์การประกันการลงทุนหลายฝ่าย (MIGA-ค.ศ.1988)
ทั้ง 4 องค์กรรวมกันเรียกว่า กลุ่มธนาคารโลก (World Bank Group) เป้าหมายที่ได้มีการระบุไว้ของกลุ่มธนาคารโลกคือ การให้ความช่วยเหลือด้านการเงิน, คำปรึกษาแนะนำ, และด้านเทคนิค แก่ประเทศสมาชิก เพื่อยกระดับมาตรฐานการครองชีพของประชาชน (โดยเฉพาะในประเทศด้อยพัฒนา) ด้วยการถ่ายโอนทรัพยากรจากประเทศพัฒนาแล้ว ส่วนกิจกรรมหลักของกลุ่มธนาคารโลกมีอยู่ 3 ประการคือ
1.ให้เงินกู้ยืม
2.ให้คำปรึกษาในด้านการพัฒนาประเทศ
3.กระตุ้นและส่งเสริมการลงทุนระหว่างประเทศ
ส่วนโครงสร้างการบริหารของธนาคารโลก ประกอบด้วยส่วนหลัก 2 ส่วน คือ สภาผู้ว่าการ (Board of Governor) และ คณะกรรมการบริหาร (Board of Executive Directotors) ภายใต้ธรรมนูญของธนาคารโลก อำนาจการตัดสินใจสูงสุดจะอยู่ที่สภาผู้ว่าการ ซึ่งประกอบไปด้วยตัวแทนของประเทศสมาชิก ประเทศละ 1 คน อยู่ในตำแหน่งวาระ 5 ปี และมีการประชุมปีละหนึ่งครั้ง (มีการจัดการประชุมที่กรุงเทพฯ เมื่อเดือนตุลาคม 2534)
บทบาทด้านหลักของสภาผู้ว่าการ คือ การกำหนดสมาชิกภาพ การเพิ่มหรือลดทุนของธนาคาร การกำหนดนโยบายการดำเนินงาน ฯลฯ สิ่งที่น่าสังเกตเกี่ยวกับสภาผู้ว่าการธนาคารโลก คือ การที่สมาชิกของแต่ละประเทศจะมีเสียงโหวตที่ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับจำนวนหุ้นของธนาคารโลกที่ประเทศนั้น ๆ ถืออยู่
คณะกรรมการบริหารของธนาคารโลก มีหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินงานทั้งหมดของธนาคารโลก สมาชิกของคณะกรรมการบริหารมีจำนวน 22 คน (และแต่ละคนจะมีกรรมการสำรองในตำแหน่งตนอีก 22 คน) โดยมีตำแหน่งคราวละ 2 ปี สมาชิกกรรมการบริหารทั้งที่มาจากการเลือกและการแต่งตั้ง
คณะกรรมการบริหารมีทั้งที่มาจากการเลือกตั้งและการแต่งตั้ง กล่าวคือ ตัวแทนจากประเทศแกน 5 ประเทศ ซึ่งได้แก่ สหรัฐอเมริกา , ญี่ปุ่น เยอรมันตะวันตก อังกฤษ , และฝรั่งเศส จะได้รับการแต่งตั้งให้เข้าดำรงตำแหน่งได้โดยอัตโนมัติ สำหรับคณะกรรมการบริหารที่เหลือ ได้มาจากการเลือกตั้งภายในกลุ่มประเทศโดยลักษณะการจัดกลุ่มนี้ เป็นการจัดแบ่งโดยธนาคารโลกเอง กลุ่มที่ประเทศไทยอยู่นั้นจะประกอบด้วยสมาชิกจากประเทศฟิจิ อินโดนีเซีย ลาว พม่า มาเลเซีย เนปาล สิงคโปร์ ไทย ตองกา และเวียดนาม ส่วนเสียงโหวตของกลุ่มนี้รวมกันมีสัดส่วนเพียง 2.79% ของเสียงทั้งหมดใน IBRD และ 2.93% ของเสียงใน IDA) ข้อน่าสังเกตคือ ตัวแทนของประเทศด้อยพัฒนา โดยเฉพาะประเทศอิตาลี แคนาดา และเบลเยี่ยม มักจะได้รับการเลือกตั้งให้เข้าดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการบริหารติดต่อกันตลอดมา
คณะกรรมการบริหารจะต้องอยู่ประจำที่สำนักงานใหญ่ของธนาคารโลก และรับผิดชอบในการควบคุมดูแลการทำงานของเจ้าหน้าที่ประจำอื่น ๆ โครงสร้างการทำงานมีการแบ่งส่วนแยกย่อยเป็นฝ่าย ๆ เช่น เลขานุการ ฝ่ายสำนักงาน การเงิน ฝ่ายปฏิบัติการ ฝ่ายนโยบาย วิจัย และกิจกรรมภายนอก ฝ่ายประเมินผลการปฏิบัติ ฝ่าย แผนงานและงบประมาณ ฝ่ายกฎหมาย ฝ่ายบุคคลและบริหาร โดยฝ่ายปฏิบัติการมีสำนักงานสาขาในภูมิภาคต่าง ๆ 4 ภูมิภาค คือ อาฟริกา เอเชีย ยุโรป ตะวันออก-อาฟริกาเหนือ และลาตินอเมริกา โดยปกติเจ้าหน้าที่ประจำสำนักงานใหญ่ของธนาคารโลกมีประมาณหลายพันคน
เงินกู้สี่ก้อนแรกของธนาคารโลกมอบให้ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ค และลักแซมเบิร์ก เพื่อฟื้นฟูประเทศหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาธนาคารโลกได้ปล่อยกู้ให้กับประเทศที่กำลังพัฒนาในปี 2491 นั้น ชิลีเป็นประเทศนอกยุโรปประเทศแรกที่ได้รับเงินกู้จากธนาคารโลก
ในช่วงทศวรรษ 2510 ธนาคารโลกเติบโตขยายตัวขึ้นมาอย่างมากมาย ทั้งจำนวนเจ้าหน้าที่และปริมาณเงินกู้ที่ปล่อยออกไป การเติบโตของธนาคารส่วนใหญ่อยู่ในภาคเศรษฐกิจ เช่น เกษตรกรรมและการพัฒนาชนบท อุตสาหกรรม การขนส่งและพลังงาน โดยเพิ่มการมีส่วนร่วมของประโยชน์จากโครงการเหล่านั้น มีการปรึกษาองค์กรเอกชนในท้องถิ่นที่เป็นตัวแทนของประชาชนน้อยมาก ไม่ว่าจะเป็นการเสาะหาโครงการ การวางแผน และการดำเนินโครงการที่ธนาคารให้ความสนับสนุน
ในช่วงนี้เองที่ธนาคารโลกให้เงินกู้ผ่านองค์กรหรือสถาบันในสังกัดรัฐบาลเพื่อส่งเสริมการทำประเทศให้ทันสมัยและเศรษฐกิจแบบเปิด หรือเศรษฐกิจแบบเสรีที่รัฐเข้ามาควบคุมน้อยที่สุด การให้ทุนสนับสนุนโครงการขนาดใหญ่ เช่น การสร้างเขื่อน การทำเหมืองแร่ และการเคลื่อนย้ายประชาชนไปตั้งถิ่นฐานใหม่ (Transmigration) ก่อให้เกิดสภาพที่ชุมชนถูกถอนรากอย่างสิ้นเชิง และเกิดความพินาศย่อยยับของสภาพแวดล้อม ป่าเมืองร้อนคิดเป็นพื้นที่ใหญ่โตมโหฬารจมหายไปใต้อ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อน หรือถูกตัดทำลาย ในขณะที่ชาวบ้านคนท้องถิ่นพื้นเมืองถูกโยกย้ายจากผืนแผ่นดินที่พวกเขาเคยอยู่อาศัยมาชั่วชีวิตเพื่อเปิดทางให้ “การพัฒนา” ตามแบบตะวันตก
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวข้างต้นของธนาคารโลกเป็นผลมาจากการปฏิรูปองค์กรครั้งใหญ่ในระหว่างที่นายโรเบิร์ต แม็กนามารา (Robert McNamara) ดำรงตำแหน่งประธาน (2511-2524) มีการเปลี่ยนแปลงแนวทางการให้ความช่วยเหลือประเทศด้อยพัฒนามาเน้นการแก้ปัญหาความยากจน ความอดอยากหิวโหย และความทุกข์ของประชาชนผู้ยากไร้ แนวทางหลักก็คือ การจัดสรรสิ่งสนองตอบความจำเป็นพื้นฐานของมนุษย์ (Basic Human Needs) แม้ว่าแนวความคิดว่าด้วย Basic Human Needs ก่อเกิดในองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization) แต่ธนาคารโลกมีบทบาทสำคัญในการสานต่อแนวความคิดดังกล่าว และนำความคิดไปสู่การปฏิบัติ
ในทศวรรษ 2520 แม็กนามารา เห็นว่าความจำเป็นพื้นฐานของมนุษย์ไม่เพียงพอที่จะช่วยโลกที่สามหลุดพ้นจากความด้อยพัฒนา ในเมื่อประเทศเหล่านี้ต้องเผชิญวิกฤติการณ์เศรษฐกิจระลอกแล้วระลอกเล่า นับตั้งแต่วิกฤติการณ์น้ำมันครั้งแรกปี 2516-2517 วิกฤติการณ์น้ำมันครั้งที่สอง ปี 2522 วิกฤติการณ์หนี้ต่างประเทศของโลกที่สามปี 2523 และภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสังคมเศรษฐกิจโลกระหว่างปี 2523-2529 แม็กนามาราเห็นว่าประเทศโลกที่สามจะสามารถฝ่าฟันคลื่นมรสุมทางเศรษฐกิจได้ ก็ต่อเมื่อมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มั่นคงแข็งแรง การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง แต่การปล่อยให้ประเทศเหล่านี้เลือกเส้นทางการพัฒนาของตนเองมิได้มีหลักประกันว่า จะมีการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ จำเป็นที่ธนาคารโลกต้องเข้าไปแทรกแซงและกำกับการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนา
ปี 2522 ธนาคารโลกริเริ่มให้มีเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้าง (Structural Adjustment Loans=SALs) และอาศัยการกำหนดเงื่อนไขการดำเนินนโยบาย (Policy Conditionalities) ผูกติดไปกับเงินให้กู้เป็นกลไกในการบังคับให้ประเทศลูกหนี้ต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ในขณะที่เงื่อนไขการดำเนินนโยบายที่ผูกติดมากับเงินกู้ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เน้นการปรับโครงสร้างอุปสงค์มวลรวม (Structure of Aggregate Demand) ธนาคารโลกเน้นการปรับโครงสร้างการผลิต (Structure of Production)
รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ นักเศรษฐศาตร์คนสำคัญที่ศึกษาเศรษฐศาสตร์มหภาคด้านการเงินและการคลัง กล่าวว่า ธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศมีบทบาทสำคัญในการสร้าง "ฉันทามติแห่งวอชิงตัน" (Washington Consensus) อันได้แก่ Stabilization, Liberalization, Deregulation และ Privatizationในขณะที่เงื่อนไขการดำเนินนโยบายของกองทุนการเงินระหว่างประเทศดูแลเรื่อง Stabilization ธนาคารโลกดูแลเรื่อง Liberlization, Deregulation, Privatization
การปฏิรูปเศรษฐกิจตามพื้นฐานความคิดของฉันทามติแห่งวอชิงตัน ก็คือ การปลดปล่อยให้กลไกราคาสามารถทำหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อรัฐต้องลดการแทรกแซงกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ลดการควบคุมและกำกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ (Deregulation) และถ่ายโอนการผลิตจากภาครัฐบาลไปสู่ภาคเอกชน (Privatization) เพื่อลดขนาดของภาครัฐบาล (Downsizing the Government)
ธนาคารโลกยึดแนวทาง การปลดปล่อยให้กลไกราคาสามารถทำหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ควบคู่กับการเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมจากการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า (Import Substitution Industrialization) ไปสู่การผลิตเพื่อการส่งออก (Export-oriented Industrialization) เป็นแนวทางการปฏิรูปเศรษฐกิจ อันเป็นเงื่อนไขการดำเนินนโยบาย ที่ผูกติดกับเงินให้กู้ SALs
ภายหลังจากที่การปฏิรูปเศรษฐกิจในระยะแรกดำเนินมานานนับทศวรรษ ก่อให้เกิดปัญหากับประเทศด้อยพัฒนาจำนวนมากที่ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการปฏิรูปเศรษฐกิจได้ หลายประเทศต้องปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการดำเนินนโยบายที่ผูกติดกับเงินให้กู้ ทั้งของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ จึงค่อยๆ ก่อเกิดและสรุปเป็นการปฏิรูปเศรษฐกิจระยะที่สอง
หัวใจของการปฏิรูปเศรษฐกิจระยะที่สอง คือ ปัจจัยสถาบันมีความสำคัญต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวของการปฏิรูปเศรษฐกิจ การละเลย และการไม่ให้ความสำคัญแก่ปัจจัยสถาบันนำมาซึ่งความล้มเหลว ในการปฏิรูปเศรษฐกิจ ความข้อนี้นับเป็นบทเรียนสำคัญยิ่งจากการปฏิรูปเศรษฐกิจรุ่นที่หนึ่ง กองทุนการเงินระหว่างประเทศร่วมกับธนาคารโลก จัดให้มีการสัมมนาทางวิชาการ Conference on Second Generation Reforms ในเดือนกันยายน 2542
การปฏิรูปสถาบันกลายเป็นเงื่อนไขการดำเนินนโยบายที่สำคัญ ที่ธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศพยายามผูกมัดให้ภาคีสมาชิกดำเนินการ โดยที่สถาบันมิได้มีความหมายจำกัดเฉพาะองค์กรและการจัดองค์กร หากหมายรวมถึงกติกาการเล่นเกม (Rules of the Game) ในสังคมเศรษฐกิจด้วย
ภายหลังการรัฐประหารปี 2500 โดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ รัฐบาลไทยเริ่มนโยบายส่งเสริมการผลิตของภาคเอกชนตามข้อเสนอแนะของธนาคารโลกในปี 2503 ด้วยการปรับลดจำนวนรัฐวิสาหกิจไทยจาก141 แห่งเหลือ 69 แห่งในปี 2519 รวมไปกระทั่งถึงคำแนะนำให้มีการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ เจ้าหน้าที่จากธนาคารโลกคือ นาย แอนโทนิน บาสซ์(Antonin Basch) ได้ยกร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมอุตสาหกรรม ฉบับ พ.ศ. 2497 และเสนอให้ไทยใช้นโยบายการคลังแบบรัดเข็มขัด และการวางแผนลงทุนระยะยาว ระหว่างปี 2497-2498 บทบาทของธนาคารโลกต่อนโยบายเศรษฐกิจไทยจึงดำรงฐานะเป็นบทบาทางอ้อมต่อการกำหนดนโยบาย
หลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเดือนตุลาคม 2516 รัฐบาลให้ความสนใจต่อปัญหาความยากจนและการกระจายรายได้ในประเทศไทยมากขึ้น รายงานธนาคารโลกเรื่อง Thailand: Toward a Strategy of Full Participation ฉบับปี 2521 มีอิทธิพลต่อการกำหนดแนวทางการพัฒนาในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 5(2525-2529) และฉบับที่ 5 และ 6 ในเวลาต่อมา ในเรื่องความจำเป็นพื้นฐานของมนุษย์
การขอรับความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคารโลกในช่วงปี 2524 –2529 และ ปี 2540-2542 ในช่วงแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจไทย ทำให้ทั้ง 2 องค์กร มีส่วนในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจที่รัฐบาลจะต้องดำเนินการในฐานะที่เป็นเงื่อนไขแห่งเงินกู้ ในกรณีของธนาคารโลก รัฐบาลไทยขอกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ (SALsI และ SALsII) ในปี 2525 และปี 2526 ซึ่งมีเงื่อนไขที่ต้องผูกมัดด้วย 10 ข้อในปี 2525 และ 13 ข้อในปี 2526 ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวรัฐบาลไทยดำเนินการตามเงื่อนไขไม่ได้ทั้งหมดเพราะมีปัญหาการเมืองในคณะรัฐบาล แต่ธนาคารโลกก็ไม่ได้ใช้อ้างเป็นสาเหตุในการยกเลิกการให้กู้แต่อย่างใด
ประกาศข่าวกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 66/2542 วันที่ 12 พฤษภาคม 2542 เรื่อง รายงานผลการประชุมประเมินผลการดำเนินการของโครงการเงินกู้จาก ธนาคารโลก (Country Portfolio Performance Review) เขียนไว้ว่า
นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ โฆษกกระทรวงการคลัง ขอแถลงผลการประชุมประเมินผล การดำเนินการของโครงการเงินกู้จากธนาคารโลกโดยรวม (Country Portfolio Performance Review- CPPR) ระหว่างกระทรวงการคลัง ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่เป็นผู้ดำเนินโครงการ (กรมทางหลวง กรมที่ดิน ทบวงมหาวิทยาลัย สถาบันราชภัฏ การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การไฟฟ้า ฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล บริษัทบางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) และ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย) และธนาคารโลก ซึ่งการประชุม CPPR เมื่อวันที่ 10-11 พฤษภาคม 2542 เป็นการจัดครั้งแรกของประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบผลการดำเนิน งานของโครงการเงินกู้โดยรวม และพิจารณามาตรการเพิ่มประสิทธิภาพและปรับปรุงการดำเนินการ ของโครงการต่าง ๆของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ได้รับเงินกู้จากธนาคารโลก
โครงการต่างๆ ที่กู้เงินจากธนาคารโลกและยังดำเนินการมีอยู่ทั้งสิ้น จำนวน 15 โครงการ และมีวงเงินกู้ผูกพัน (Aggregate Commitment) ทั้งสิ้นประมาณ 1.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ มีโครงการในสาขาพลังงานคิดเป็นร้อยละ 44 ของจำนวนโครงการทั้งหมด คิดเป็นวงเงินกู้ผูกพัน ร้อยละ 36 ของเงินกู้จากธนาคารโลก อันดับสองคือภาคการศึกษาซึ่งมีโครงการทั้งสิ้นร้อยละ 19 ของ โครงการทั้งหมด คิดเป็นวงเงินขอกู้ร้อยละ 13 ของเงินกู้ นอกจากนั้น เงินกู้ในช่วงที่ผ่านมาเป็น ลักษณะเพื่อแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจเป็นสำคัญเพื่อช่วยสนับสนุนการปฏิรูปภาคการเงินและการบริหาร เศรษฐกิจในระดับมหภาคและโครงการลงทุนเพื่อสังคม
แผนการปรับปรุงผลการดำเนินการโครงการโดยรวม
กระทรวงการคลังและธนาคารโลกได้ให้ความสำคัญที่จะมีแผนการปรับปรุง ผลการดำเนินการโครงการโดยรวม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเร่งดำเนินการโครงการให้บรรลุตามเป้าหมาย และระยะเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ เพื่อให้ผลประโยชน์ที่จะได้จากโครงการเหล่านั้นถึงมือประชาชนโดยเร็ว ที่ประชุมดังกล่าวได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในการปรับปรุงด้านการบริหารโครงการ การปรับโครงสร้างการ ติดตามประเมินผล การกำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพทั้งในส่วนของธนาคารโลก และรัฐบาลไทย รวมทั้งระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างที่อาจแตกต่างกับการเตรียมโครงการล่วงหน้าเพื่อให้เบิก จ่ายให้เบิกจ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนในการติดตามประเมินผลเงินกู้จากต่างประเทศ
นอกจากนั้นที่ประชุมยังเห็นชอบให้มีการจัดตั้งหน่วยติดตามและสนับสนุน โครงการ (Oversight Support Unit - OSU) โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของ รัฐบาลในการควบคุมดูแลความก้าวหน้าในการดำเนินงานโครงการเงินกู้ทั้งหมด ตลอดจนให้ข้อเสนอ แนะและคำแนะนำแก่โครงการที่มีปัญหา เพื่อสามารถหาแนวทางในการ แก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
ในการนี้ OSU จะจัดตั้งขึ้นในสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในชั้นแรกนั้น ธนาคารโลกจะให้การสนับสนุนผ่าน ASEM Trust Fund ในรูปความช่วยเหลือทางวิชาการ ซึ่งกระทรวงการคลังคาดว่าการจัดตั้ง OSU เพื่อให้ดำเนินการของโครงการโดยรวมเป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น สามารถติดต่อและรับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในบางโครงการรวดเร็วขึ้น เพื่อจะให้การสนับสนุนแก้ไขได้ทันท่วงที ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้รับผลประโยชน์จากโครงการเหล่านี้มากขึ้น [1]
เมื่อไทยได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกอันเนื่องมาจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ของสหรัฐอเมริกาเมื่อปลายปี 2551 ส่งผลให้ตัวเลขการส่งออกลดลง และการเติบโตทางเศรษฐกิจภายในประเทศหดตัวอย่างรุนแรง รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้อนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินจากธนาคารโลก 1,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อใช้ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน หลังจากได้เคยอนุมัติในหลักการให้กู้เงินจาก ธนาคารโลก ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (ไจก้า) วงเงิน 2,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 72,000 ล้านบาท และนำร่างสัญญาเงินกู้เสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา โดยเงินดังกล่าวมีระยะเวลา 20 ปี ปลอดหนี้ 8 ปี ปรับดอกเบี้ยทุก 6 เดือน อ้างอิงจากดอกเบี้ยลอยตัวสกุลเงินสหรัฐ เฉลี่ย 15 ปี ที่ 3.55%
ก่อนหน้านี้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลังได้รายงานเหตุผลและความจำเป็นในการกู้เงินต่างประเทศว่า เกิดจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะวิกฤติการทางการเงินของสหรัฐอเมริกา การขยายตัวของ จีดีพี ภายในสหรัฐลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาสที่ 4 ปี 2551 ติดลบ 3.8 % ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจไทย ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินโลก ปี 2551 จีดีพีของไทยขยายตัวเพียง 2.3 % ไตรมาสที่ 4 หดตัว 4.3 % ปริมาณการส่งออกและบริการครึ่งปีหลังของปี 2551 ติดลบ 26 % อัตราการว่างงานจาก 5 แสนเป็น 1 ล้านคน และในปี 2552 ไอเอ็มเอฟ และธนาคารโลก คาดการณ์เศรษฐกิจขยายตัวเพียง 0.5-0.9 % เศรษฐกิจไทยเสี่ยงที่จะหดตัวในครึ่งปีแรกของปี 2552
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ รายงานด้วยว่า ความจำเป็นสำคัญคือ งบกลางปี เพิ่มเติมปี 52 มีจำกัดไม่เพียงพอสำหรับโครงการลงทุนภาครัฐ การจัดทำงบประมาณขาดดุลปี 2552 อยู่ที่ 347,060.52 ล้านบาท การกู้เงินในประเทศมีข้อจำกัดจากเพดานการกู้เงิน เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ตามพระราชบัญญัติหนี้สาธารณะ ไม่เกิน 20 % ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี และงบเพิ่มเติม 80 % ของงบประมาณรายจ่าย ชำระคืนเงินต้น จึงไม่สามารถการกู้เงินภาย ในประเทศได้เกินกรอบวงเงิน 441,280.88 ล้านบาท ขณะเดียวกันการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลไม่เป็นไปตามเป้า สภาพตลาดเงินมีความผันผวน รัฐวิสาหกิจและสถาบันการเงินของรัฐมีแนวโน้มจะการกู้เงินในประเทศเพิ่มขึ้นเพื่อบริหารสภาพคล่อง รัฐบาลมีสถานะทางเครดิตและช่องทางการกู้เงินต่างประเทศในเงื่อนไขและต้นทุนที่ดีกว่า โดยเฉพาะการการกู้เงินการกู้เงินจากสถาบันการเงินและองค์กรระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ยังได้รายงานว่า หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนธ.ค. 51 คงค้าง 3,471.34 พันล้านบาท คิดเป็น 38.13 % ต่อ จีดีพี เป็นหนี้ระยะสั้น 174.09 พันล้านบาท หนี้ระยะยาว 3,297.25 พันล้านบาท แบ่งเป็นหนี้ภายในประเทศ 3,055.81 พันล้านบาท หนี้ต่างประเทศ 415.53 พันล้านบาท โดยเป็นเงินสกุล เยน มากที่สุด 64 % เหรียญสหรัฐ 20 % และ ยูโร 16 % ทั้งนี้ ไทยการกู้เงินจากธนาคารโลกจนถึงปัจจุบัน จำนวน 8,553 ล้านเหรียญสหรัฐ เงินการกู้เงินจาก เอดีบี 5,316 ล้านเหรียญสหรัฐ และเงินการกู้เงินจาก เจบิค ประมาณ 2,010,537 ล้านเยน
ที่มา
รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์. กระบวนการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจในประเทศไทย : บทวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์เศรษฐกิจการเมือง พ.ศ. 2475-2530. กรุงเทพฯ: สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, 2531.
ผาสุก พงษ์ไพจิตร และคริส เบเกอร์. เศรษฐกิจการเมืองไทยสมัยกรุงเทพฯ. พิมพ์ครั้งที่ 2 กรุงเทพฯ: Silkworm Books, 2542.
http://www.bot.or.th
http://www.mof.go.th
อ้างอิง
↑ http://www.mof.go.th/news99/news66.htm ลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2542
รับข้อมูลจาก "http://www.kpi.ac.th/wiki/index.php/World_Bank_%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2"
ธนาคารโลกก่อตั้งขึ้นมาจากการประชุมที่เบร็ตตันวูดส์ รัฐนิวแฮมเซียร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2487 การประชุมครั้งนี้ได้ร่างกฎบัตรขึ้นมาสองฉบับสำหรับธนาคารโลก ซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่าธนาคารระหว่างประเทศเพื่อการบูรณะและพัฒนา (International Bank for Reconstruction and Development-IBRD) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund-IMF) ตอนที่มีการก่อตั้งสถาบันการเงินทั้งสองขึ้นมาที่เบร็ตตันวูดส์นั้น ทั้งสองสถาบันมีการแบ่งความรับผิดชอบกันอย่างชัดเจน กองทุนจะให้การสนับสนุนทางการเงินระยะสั้น เพื่อช่วยประเทศต่าง ๆ แก้ปัญหาดุลการชำระเงินในขณะที่ธนาคารโลกจะให้ทุนสนับสนุนการพัฒนาระยะกลางและระยะยาวในรูปแบบเงินกู้ยืม โครงการพัฒนาที่เน้นเฉพาะเป็นโครงการไป โดยเข้าไปช่วยเหลือประเทศต่างๆ ในยุโรปที่ประสบภัยพิบัติจากสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ต่อมาให้เงินกู้แก่ประเทศต่างๆ ในโลกที่สามเป็นสำคัญ โครงการพัฒนาส่วนใหญ่ที่ได้รับเงินให้กู้จากธนาคารโลก เป็นโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ (Infrastructure Investment) ดังเช่นถนนและทางหลวง ระบบสาธารณูปโภค ระบบชลประทาน เป็นต้น
สถาบันการเงินในธนาคารโลก ประกอบด้วยสถาบันต่างๆ รวม 4 แห่ง ประกอบด้วย
1. ธนาคารเพื่อการบูรณะและพัฒนาระหว่างประเทศ (IBRD-ก่อตั้งค.ศ.1945)
2. บรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (IFC-ค.ศ.1956)
3. สมาคมพัฒนาระหว่างประเทศ (IDA-ค.ศ.1960)
4. องค์การประกันการลงทุนหลายฝ่าย (MIGA-ค.ศ.1988)
ทั้ง 4 องค์กรรวมกันเรียกว่า กลุ่มธนาคารโลก (World Bank Group) เป้าหมายที่ได้มีการระบุไว้ของกลุ่มธนาคารโลกคือ การให้ความช่วยเหลือด้านการเงิน, คำปรึกษาแนะนำ, และด้านเทคนิค แก่ประเทศสมาชิก เพื่อยกระดับมาตรฐานการครองชีพของประชาชน (โดยเฉพาะในประเทศด้อยพัฒนา) ด้วยการถ่ายโอนทรัพยากรจากประเทศพัฒนาแล้ว ส่วนกิจกรรมหลักของกลุ่มธนาคารโลกมีอยู่ 3 ประการคือ
1.ให้เงินกู้ยืม
2.ให้คำปรึกษาในด้านการพัฒนาประเทศ
3.กระตุ้นและส่งเสริมการลงทุนระหว่างประเทศ
ส่วนโครงสร้างการบริหารของธนาคารโลก ประกอบด้วยส่วนหลัก 2 ส่วน คือ สภาผู้ว่าการ (Board of Governor) และ คณะกรรมการบริหาร (Board of Executive Directotors) ภายใต้ธรรมนูญของธนาคารโลก อำนาจการตัดสินใจสูงสุดจะอยู่ที่สภาผู้ว่าการ ซึ่งประกอบไปด้วยตัวแทนของประเทศสมาชิก ประเทศละ 1 คน อยู่ในตำแหน่งวาระ 5 ปี และมีการประชุมปีละหนึ่งครั้ง (มีการจัดการประชุมที่กรุงเทพฯ เมื่อเดือนตุลาคม 2534)
บทบาทด้านหลักของสภาผู้ว่าการ คือ การกำหนดสมาชิกภาพ การเพิ่มหรือลดทุนของธนาคาร การกำหนดนโยบายการดำเนินงาน ฯลฯ สิ่งที่น่าสังเกตเกี่ยวกับสภาผู้ว่าการธนาคารโลก คือ การที่สมาชิกของแต่ละประเทศจะมีเสียงโหวตที่ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับจำนวนหุ้นของธนาคารโลกที่ประเทศนั้น ๆ ถืออยู่
คณะกรรมการบริหารของธนาคารโลก มีหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินงานทั้งหมดของธนาคารโลก สมาชิกของคณะกรรมการบริหารมีจำนวน 22 คน (และแต่ละคนจะมีกรรมการสำรองในตำแหน่งตนอีก 22 คน) โดยมีตำแหน่งคราวละ 2 ปี สมาชิกกรรมการบริหารทั้งที่มาจากการเลือกและการแต่งตั้ง
คณะกรรมการบริหารมีทั้งที่มาจากการเลือกตั้งและการแต่งตั้ง กล่าวคือ ตัวแทนจากประเทศแกน 5 ประเทศ ซึ่งได้แก่ สหรัฐอเมริกา , ญี่ปุ่น เยอรมันตะวันตก อังกฤษ , และฝรั่งเศส จะได้รับการแต่งตั้งให้เข้าดำรงตำแหน่งได้โดยอัตโนมัติ สำหรับคณะกรรมการบริหารที่เหลือ ได้มาจากการเลือกตั้งภายในกลุ่มประเทศโดยลักษณะการจัดกลุ่มนี้ เป็นการจัดแบ่งโดยธนาคารโลกเอง กลุ่มที่ประเทศไทยอยู่นั้นจะประกอบด้วยสมาชิกจากประเทศฟิจิ อินโดนีเซีย ลาว พม่า มาเลเซีย เนปาล สิงคโปร์ ไทย ตองกา และเวียดนาม ส่วนเสียงโหวตของกลุ่มนี้รวมกันมีสัดส่วนเพียง 2.79% ของเสียงทั้งหมดใน IBRD และ 2.93% ของเสียงใน IDA) ข้อน่าสังเกตคือ ตัวแทนของประเทศด้อยพัฒนา โดยเฉพาะประเทศอิตาลี แคนาดา และเบลเยี่ยม มักจะได้รับการเลือกตั้งให้เข้าดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการบริหารติดต่อกันตลอดมา
คณะกรรมการบริหารจะต้องอยู่ประจำที่สำนักงานใหญ่ของธนาคารโลก และรับผิดชอบในการควบคุมดูแลการทำงานของเจ้าหน้าที่ประจำอื่น ๆ โครงสร้างการทำงานมีการแบ่งส่วนแยกย่อยเป็นฝ่าย ๆ เช่น เลขานุการ ฝ่ายสำนักงาน การเงิน ฝ่ายปฏิบัติการ ฝ่ายนโยบาย วิจัย และกิจกรรมภายนอก ฝ่ายประเมินผลการปฏิบัติ ฝ่าย แผนงานและงบประมาณ ฝ่ายกฎหมาย ฝ่ายบุคคลและบริหาร โดยฝ่ายปฏิบัติการมีสำนักงานสาขาในภูมิภาคต่าง ๆ 4 ภูมิภาค คือ อาฟริกา เอเชีย ยุโรป ตะวันออก-อาฟริกาเหนือ และลาตินอเมริกา โดยปกติเจ้าหน้าที่ประจำสำนักงานใหญ่ของธนาคารโลกมีประมาณหลายพันคน
เงินกู้สี่ก้อนแรกของธนาคารโลกมอบให้ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ค และลักแซมเบิร์ก เพื่อฟื้นฟูประเทศหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาธนาคารโลกได้ปล่อยกู้ให้กับประเทศที่กำลังพัฒนาในปี 2491 นั้น ชิลีเป็นประเทศนอกยุโรปประเทศแรกที่ได้รับเงินกู้จากธนาคารโลก
ในช่วงทศวรรษ 2510 ธนาคารโลกเติบโตขยายตัวขึ้นมาอย่างมากมาย ทั้งจำนวนเจ้าหน้าที่และปริมาณเงินกู้ที่ปล่อยออกไป การเติบโตของธนาคารส่วนใหญ่อยู่ในภาคเศรษฐกิจ เช่น เกษตรกรรมและการพัฒนาชนบท อุตสาหกรรม การขนส่งและพลังงาน โดยเพิ่มการมีส่วนร่วมของประโยชน์จากโครงการเหล่านั้น มีการปรึกษาองค์กรเอกชนในท้องถิ่นที่เป็นตัวแทนของประชาชนน้อยมาก ไม่ว่าจะเป็นการเสาะหาโครงการ การวางแผน และการดำเนินโครงการที่ธนาคารให้ความสนับสนุน
ในช่วงนี้เองที่ธนาคารโลกให้เงินกู้ผ่านองค์กรหรือสถาบันในสังกัดรัฐบาลเพื่อส่งเสริมการทำประเทศให้ทันสมัยและเศรษฐกิจแบบเปิด หรือเศรษฐกิจแบบเสรีที่รัฐเข้ามาควบคุมน้อยที่สุด การให้ทุนสนับสนุนโครงการขนาดใหญ่ เช่น การสร้างเขื่อน การทำเหมืองแร่ และการเคลื่อนย้ายประชาชนไปตั้งถิ่นฐานใหม่ (Transmigration) ก่อให้เกิดสภาพที่ชุมชนถูกถอนรากอย่างสิ้นเชิง และเกิดความพินาศย่อยยับของสภาพแวดล้อม ป่าเมืองร้อนคิดเป็นพื้นที่ใหญ่โตมโหฬารจมหายไปใต้อ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อน หรือถูกตัดทำลาย ในขณะที่ชาวบ้านคนท้องถิ่นพื้นเมืองถูกโยกย้ายจากผืนแผ่นดินที่พวกเขาเคยอยู่อาศัยมาชั่วชีวิตเพื่อเปิดทางให้ “การพัฒนา” ตามแบบตะวันตก
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวข้างต้นของธนาคารโลกเป็นผลมาจากการปฏิรูปองค์กรครั้งใหญ่ในระหว่างที่นายโรเบิร์ต แม็กนามารา (Robert McNamara) ดำรงตำแหน่งประธาน (2511-2524) มีการเปลี่ยนแปลงแนวทางการให้ความช่วยเหลือประเทศด้อยพัฒนามาเน้นการแก้ปัญหาความยากจน ความอดอยากหิวโหย และความทุกข์ของประชาชนผู้ยากไร้ แนวทางหลักก็คือ การจัดสรรสิ่งสนองตอบความจำเป็นพื้นฐานของมนุษย์ (Basic Human Needs) แม้ว่าแนวความคิดว่าด้วย Basic Human Needs ก่อเกิดในองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization) แต่ธนาคารโลกมีบทบาทสำคัญในการสานต่อแนวความคิดดังกล่าว และนำความคิดไปสู่การปฏิบัติ
ในทศวรรษ 2520 แม็กนามารา เห็นว่าความจำเป็นพื้นฐานของมนุษย์ไม่เพียงพอที่จะช่วยโลกที่สามหลุดพ้นจากความด้อยพัฒนา ในเมื่อประเทศเหล่านี้ต้องเผชิญวิกฤติการณ์เศรษฐกิจระลอกแล้วระลอกเล่า นับตั้งแต่วิกฤติการณ์น้ำมันครั้งแรกปี 2516-2517 วิกฤติการณ์น้ำมันครั้งที่สอง ปี 2522 วิกฤติการณ์หนี้ต่างประเทศของโลกที่สามปี 2523 และภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสังคมเศรษฐกิจโลกระหว่างปี 2523-2529 แม็กนามาราเห็นว่าประเทศโลกที่สามจะสามารถฝ่าฟันคลื่นมรสุมทางเศรษฐกิจได้ ก็ต่อเมื่อมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มั่นคงแข็งแรง การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง แต่การปล่อยให้ประเทศเหล่านี้เลือกเส้นทางการพัฒนาของตนเองมิได้มีหลักประกันว่า จะมีการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ จำเป็นที่ธนาคารโลกต้องเข้าไปแทรกแซงและกำกับการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนา
ปี 2522 ธนาคารโลกริเริ่มให้มีเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้าง (Structural Adjustment Loans=SALs) และอาศัยการกำหนดเงื่อนไขการดำเนินนโยบาย (Policy Conditionalities) ผูกติดไปกับเงินให้กู้เป็นกลไกในการบังคับให้ประเทศลูกหนี้ต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ในขณะที่เงื่อนไขการดำเนินนโยบายที่ผูกติดมากับเงินกู้ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เน้นการปรับโครงสร้างอุปสงค์มวลรวม (Structure of Aggregate Demand) ธนาคารโลกเน้นการปรับโครงสร้างการผลิต (Structure of Production)
รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ นักเศรษฐศาตร์คนสำคัญที่ศึกษาเศรษฐศาสตร์มหภาคด้านการเงินและการคลัง กล่าวว่า ธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศมีบทบาทสำคัญในการสร้าง "ฉันทามติแห่งวอชิงตัน" (Washington Consensus) อันได้แก่ Stabilization, Liberalization, Deregulation และ Privatizationในขณะที่เงื่อนไขการดำเนินนโยบายของกองทุนการเงินระหว่างประเทศดูแลเรื่อง Stabilization ธนาคารโลกดูแลเรื่อง Liberlization, Deregulation, Privatization
การปฏิรูปเศรษฐกิจตามพื้นฐานความคิดของฉันทามติแห่งวอชิงตัน ก็คือ การปลดปล่อยให้กลไกราคาสามารถทำหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อรัฐต้องลดการแทรกแซงกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ลดการควบคุมและกำกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ (Deregulation) และถ่ายโอนการผลิตจากภาครัฐบาลไปสู่ภาคเอกชน (Privatization) เพื่อลดขนาดของภาครัฐบาล (Downsizing the Government)
ธนาคารโลกยึดแนวทาง การปลดปล่อยให้กลไกราคาสามารถทำหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ควบคู่กับการเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมจากการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า (Import Substitution Industrialization) ไปสู่การผลิตเพื่อการส่งออก (Export-oriented Industrialization) เป็นแนวทางการปฏิรูปเศรษฐกิจ อันเป็นเงื่อนไขการดำเนินนโยบาย ที่ผูกติดกับเงินให้กู้ SALs
ภายหลังจากที่การปฏิรูปเศรษฐกิจในระยะแรกดำเนินมานานนับทศวรรษ ก่อให้เกิดปัญหากับประเทศด้อยพัฒนาจำนวนมากที่ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการปฏิรูปเศรษฐกิจได้ หลายประเทศต้องปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการดำเนินนโยบายที่ผูกติดกับเงินให้กู้ ทั้งของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ จึงค่อยๆ ก่อเกิดและสรุปเป็นการปฏิรูปเศรษฐกิจระยะที่สอง
หัวใจของการปฏิรูปเศรษฐกิจระยะที่สอง คือ ปัจจัยสถาบันมีความสำคัญต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวของการปฏิรูปเศรษฐกิจ การละเลย และการไม่ให้ความสำคัญแก่ปัจจัยสถาบันนำมาซึ่งความล้มเหลว ในการปฏิรูปเศรษฐกิจ ความข้อนี้นับเป็นบทเรียนสำคัญยิ่งจากการปฏิรูปเศรษฐกิจรุ่นที่หนึ่ง กองทุนการเงินระหว่างประเทศร่วมกับธนาคารโลก จัดให้มีการสัมมนาทางวิชาการ Conference on Second Generation Reforms ในเดือนกันยายน 2542
การปฏิรูปสถาบันกลายเป็นเงื่อนไขการดำเนินนโยบายที่สำคัญ ที่ธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศพยายามผูกมัดให้ภาคีสมาชิกดำเนินการ โดยที่สถาบันมิได้มีความหมายจำกัดเฉพาะองค์กรและการจัดองค์กร หากหมายรวมถึงกติกาการเล่นเกม (Rules of the Game) ในสังคมเศรษฐกิจด้วย
ภายหลังการรัฐประหารปี 2500 โดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ รัฐบาลไทยเริ่มนโยบายส่งเสริมการผลิตของภาคเอกชนตามข้อเสนอแนะของธนาคารโลกในปี 2503 ด้วยการปรับลดจำนวนรัฐวิสาหกิจไทยจาก141 แห่งเหลือ 69 แห่งในปี 2519 รวมไปกระทั่งถึงคำแนะนำให้มีการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ เจ้าหน้าที่จากธนาคารโลกคือ นาย แอนโทนิน บาสซ์(Antonin Basch) ได้ยกร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมอุตสาหกรรม ฉบับ พ.ศ. 2497 และเสนอให้ไทยใช้นโยบายการคลังแบบรัดเข็มขัด และการวางแผนลงทุนระยะยาว ระหว่างปี 2497-2498 บทบาทของธนาคารโลกต่อนโยบายเศรษฐกิจไทยจึงดำรงฐานะเป็นบทบาทางอ้อมต่อการกำหนดนโยบาย
หลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเดือนตุลาคม 2516 รัฐบาลให้ความสนใจต่อปัญหาความยากจนและการกระจายรายได้ในประเทศไทยมากขึ้น รายงานธนาคารโลกเรื่อง Thailand: Toward a Strategy of Full Participation ฉบับปี 2521 มีอิทธิพลต่อการกำหนดแนวทางการพัฒนาในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 5(2525-2529) และฉบับที่ 5 และ 6 ในเวลาต่อมา ในเรื่องความจำเป็นพื้นฐานของมนุษย์
การขอรับความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคารโลกในช่วงปี 2524 –2529 และ ปี 2540-2542 ในช่วงแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจไทย ทำให้ทั้ง 2 องค์กร มีส่วนในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจที่รัฐบาลจะต้องดำเนินการในฐานะที่เป็นเงื่อนไขแห่งเงินกู้ ในกรณีของธนาคารโลก รัฐบาลไทยขอกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ (SALsI และ SALsII) ในปี 2525 และปี 2526 ซึ่งมีเงื่อนไขที่ต้องผูกมัดด้วย 10 ข้อในปี 2525 และ 13 ข้อในปี 2526 ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวรัฐบาลไทยดำเนินการตามเงื่อนไขไม่ได้ทั้งหมดเพราะมีปัญหาการเมืองในคณะรัฐบาล แต่ธนาคารโลกก็ไม่ได้ใช้อ้างเป็นสาเหตุในการยกเลิกการให้กู้แต่อย่างใด
ประกาศข่าวกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 66/2542 วันที่ 12 พฤษภาคม 2542 เรื่อง รายงานผลการประชุมประเมินผลการดำเนินการของโครงการเงินกู้จาก ธนาคารโลก (Country Portfolio Performance Review) เขียนไว้ว่า
นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ โฆษกกระทรวงการคลัง ขอแถลงผลการประชุมประเมินผล การดำเนินการของโครงการเงินกู้จากธนาคารโลกโดยรวม (Country Portfolio Performance Review- CPPR) ระหว่างกระทรวงการคลัง ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่เป็นผู้ดำเนินโครงการ (กรมทางหลวง กรมที่ดิน ทบวงมหาวิทยาลัย สถาบันราชภัฏ การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การไฟฟ้า ฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล บริษัทบางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) และ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย) และธนาคารโลก ซึ่งการประชุม CPPR เมื่อวันที่ 10-11 พฤษภาคม 2542 เป็นการจัดครั้งแรกของประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบผลการดำเนิน งานของโครงการเงินกู้โดยรวม และพิจารณามาตรการเพิ่มประสิทธิภาพและปรับปรุงการดำเนินการ ของโครงการต่าง ๆของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ได้รับเงินกู้จากธนาคารโลก
โครงการต่างๆ ที่กู้เงินจากธนาคารโลกและยังดำเนินการมีอยู่ทั้งสิ้น จำนวน 15 โครงการ และมีวงเงินกู้ผูกพัน (Aggregate Commitment) ทั้งสิ้นประมาณ 1.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ มีโครงการในสาขาพลังงานคิดเป็นร้อยละ 44 ของจำนวนโครงการทั้งหมด คิดเป็นวงเงินกู้ผูกพัน ร้อยละ 36 ของเงินกู้จากธนาคารโลก อันดับสองคือภาคการศึกษาซึ่งมีโครงการทั้งสิ้นร้อยละ 19 ของ โครงการทั้งหมด คิดเป็นวงเงินขอกู้ร้อยละ 13 ของเงินกู้ นอกจากนั้น เงินกู้ในช่วงที่ผ่านมาเป็น ลักษณะเพื่อแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจเป็นสำคัญเพื่อช่วยสนับสนุนการปฏิรูปภาคการเงินและการบริหาร เศรษฐกิจในระดับมหภาคและโครงการลงทุนเพื่อสังคม
แผนการปรับปรุงผลการดำเนินการโครงการโดยรวม
กระทรวงการคลังและธนาคารโลกได้ให้ความสำคัญที่จะมีแผนการปรับปรุง ผลการดำเนินการโครงการโดยรวม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเร่งดำเนินการโครงการให้บรรลุตามเป้าหมาย และระยะเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ เพื่อให้ผลประโยชน์ที่จะได้จากโครงการเหล่านั้นถึงมือประชาชนโดยเร็ว ที่ประชุมดังกล่าวได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในการปรับปรุงด้านการบริหารโครงการ การปรับโครงสร้างการ ติดตามประเมินผล การกำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพทั้งในส่วนของธนาคารโลก และรัฐบาลไทย รวมทั้งระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างที่อาจแตกต่างกับการเตรียมโครงการล่วงหน้าเพื่อให้เบิก จ่ายให้เบิกจ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนในการติดตามประเมินผลเงินกู้จากต่างประเทศ
นอกจากนั้นที่ประชุมยังเห็นชอบให้มีการจัดตั้งหน่วยติดตามและสนับสนุน โครงการ (Oversight Support Unit - OSU) โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของ รัฐบาลในการควบคุมดูแลความก้าวหน้าในการดำเนินงานโครงการเงินกู้ทั้งหมด ตลอดจนให้ข้อเสนอ แนะและคำแนะนำแก่โครงการที่มีปัญหา เพื่อสามารถหาแนวทางในการ แก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
ในการนี้ OSU จะจัดตั้งขึ้นในสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในชั้นแรกนั้น ธนาคารโลกจะให้การสนับสนุนผ่าน ASEM Trust Fund ในรูปความช่วยเหลือทางวิชาการ ซึ่งกระทรวงการคลังคาดว่าการจัดตั้ง OSU เพื่อให้ดำเนินการของโครงการโดยรวมเป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น สามารถติดต่อและรับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในบางโครงการรวดเร็วขึ้น เพื่อจะให้การสนับสนุนแก้ไขได้ทันท่วงที ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้รับผลประโยชน์จากโครงการเหล่านี้มากขึ้น [1]
เมื่อไทยได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกอันเนื่องมาจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ของสหรัฐอเมริกาเมื่อปลายปี 2551 ส่งผลให้ตัวเลขการส่งออกลดลง และการเติบโตทางเศรษฐกิจภายในประเทศหดตัวอย่างรุนแรง รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้อนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินจากธนาคารโลก 1,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อใช้ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน หลังจากได้เคยอนุมัติในหลักการให้กู้เงินจาก ธนาคารโลก ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (ไจก้า) วงเงิน 2,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 72,000 ล้านบาท และนำร่างสัญญาเงินกู้เสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา โดยเงินดังกล่าวมีระยะเวลา 20 ปี ปลอดหนี้ 8 ปี ปรับดอกเบี้ยทุก 6 เดือน อ้างอิงจากดอกเบี้ยลอยตัวสกุลเงินสหรัฐ เฉลี่ย 15 ปี ที่ 3.55%
ก่อนหน้านี้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลังได้รายงานเหตุผลและความจำเป็นในการกู้เงินต่างประเทศว่า เกิดจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะวิกฤติการทางการเงินของสหรัฐอเมริกา การขยายตัวของ จีดีพี ภายในสหรัฐลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาสที่ 4 ปี 2551 ติดลบ 3.8 % ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจไทย ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินโลก ปี 2551 จีดีพีของไทยขยายตัวเพียง 2.3 % ไตรมาสที่ 4 หดตัว 4.3 % ปริมาณการส่งออกและบริการครึ่งปีหลังของปี 2551 ติดลบ 26 % อัตราการว่างงานจาก 5 แสนเป็น 1 ล้านคน และในปี 2552 ไอเอ็มเอฟ และธนาคารโลก คาดการณ์เศรษฐกิจขยายตัวเพียง 0.5-0.9 % เศรษฐกิจไทยเสี่ยงที่จะหดตัวในครึ่งปีแรกของปี 2552
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ รายงานด้วยว่า ความจำเป็นสำคัญคือ งบกลางปี เพิ่มเติมปี 52 มีจำกัดไม่เพียงพอสำหรับโครงการลงทุนภาครัฐ การจัดทำงบประมาณขาดดุลปี 2552 อยู่ที่ 347,060.52 ล้านบาท การกู้เงินในประเทศมีข้อจำกัดจากเพดานการกู้เงิน เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ตามพระราชบัญญัติหนี้สาธารณะ ไม่เกิน 20 % ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี และงบเพิ่มเติม 80 % ของงบประมาณรายจ่าย ชำระคืนเงินต้น จึงไม่สามารถการกู้เงินภาย ในประเทศได้เกินกรอบวงเงิน 441,280.88 ล้านบาท ขณะเดียวกันการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลไม่เป็นไปตามเป้า สภาพตลาดเงินมีความผันผวน รัฐวิสาหกิจและสถาบันการเงินของรัฐมีแนวโน้มจะการกู้เงินในประเทศเพิ่มขึ้นเพื่อบริหารสภาพคล่อง รัฐบาลมีสถานะทางเครดิตและช่องทางการกู้เงินต่างประเทศในเงื่อนไขและต้นทุนที่ดีกว่า โดยเฉพาะการการกู้เงินการกู้เงินจากสถาบันการเงินและองค์กรระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ยังได้รายงานว่า หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนธ.ค. 51 คงค้าง 3,471.34 พันล้านบาท คิดเป็น 38.13 % ต่อ จีดีพี เป็นหนี้ระยะสั้น 174.09 พันล้านบาท หนี้ระยะยาว 3,297.25 พันล้านบาท แบ่งเป็นหนี้ภายในประเทศ 3,055.81 พันล้านบาท หนี้ต่างประเทศ 415.53 พันล้านบาท โดยเป็นเงินสกุล เยน มากที่สุด 64 % เหรียญสหรัฐ 20 % และ ยูโร 16 % ทั้งนี้ ไทยการกู้เงินจากธนาคารโลกจนถึงปัจจุบัน จำนวน 8,553 ล้านเหรียญสหรัฐ เงินการกู้เงินจาก เอดีบี 5,316 ล้านเหรียญสหรัฐ และเงินการกู้เงินจาก เจบิค ประมาณ 2,010,537 ล้านเยน
ที่มา
รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์. กระบวนการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจในประเทศไทย : บทวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์เศรษฐกิจการเมือง พ.ศ. 2475-2530. กรุงเทพฯ: สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, 2531.
ผาสุก พงษ์ไพจิตร และคริส เบเกอร์. เศรษฐกิจการเมืองไทยสมัยกรุงเทพฯ. พิมพ์ครั้งที่ 2 กรุงเทพฯ: Silkworm Books, 2542.
http://www.bot.or.th
http://www.mof.go.th
อ้างอิง
↑ http://www.mof.go.th/news99/news66.htm ลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2542
รับข้อมูลจาก "http://www.kpi.ac.th/wiki/index.php/World_Bank_%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2"
World Bank
ความโดยประธานธนาคารโลกเรื่องวิกฤติเศรษฐกิจโลก
ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมานั้น วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งในตลาดเงิน ในระบบสินเชื่อ และในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐอเมริกาก็ได้ส่งผลให้ความกังวลที่มีอยู่เดิมต่อสภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์ด้านการลดความยากจนของโลกในปัจจุบัน อันสืบเนื่องมาจากปัญหาราคาอาหารและน้ำมันที่ถีบตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ นั้น ขยายวงกว้างขึ้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเดือนกันยายนและตุลาคมนั้น อาจผลักดันให้สถานการณ์ในประเทศกำลังพัฒนาหลายต่อหลายประเทศ ซึ่งแต่เดิมก็ค่อนข้างล่อแหลมหรือเปราะบางอยู่แล้ว ทวีความรุนแรงขึ้นจนถึงขั้นวิกฤติได้ และหากเป็นเช่นนั้น คนที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือคนยากจน ซึ่งโดยมากแล้วจะปราศจากเกราะกำบังใดใดนั่นเอง
เราได้ยินคำตำหนิติเตียนมากมายว่าต้นเหตุของปัญหานี้อยู่ที่การเปิดตลาดเสรี อยู่ที่ความล้มเหลวของสถาบันกำกับดูแลในภาครัฐ ทว่า ความจริงที่เราต้องเผชิญและยอมรับก็คือ ทุกวันนี้ โลกมาไกลเกินกว่าที่จะหันหลังให้แก่โลกาภิวัตน์ได้แล้ว สิ่งที่เราจะทำได้ก็คือการเรียนรู้จากประสบการณ์และความผิดพลาดในอดีตในขณะที่เราก้าวย่างต่อไปเพื่อวางรากฐานให้แก่อนาคต ทั้งนี้ เราจำเป็นที่จะต้องปฏิวัติโครงสร้างของตลาดเงินตลาดทุน รวมทั้งระบบพหุพาคีเพื่อแก้ไขปัญหาระดับโลกให้สอดคล้องต่อสภาวะเศรษฐกิจของโลกในปัจจุบันยิ่งขึ้น
ความเป็นไปของตลาดเงินตลาดทุนในวันนี้ รวมทั้งการที่แต่ละประเทศในโลกถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันภายใต้เครือข่ายเดียวนั้น สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของการติดต่อสื่อสาร การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร พัฒนาการของเทคโนโลยี การไหลเวียนของเงินทุนและการค้า การเคลื่อนย้ายของแรงงาน และแรงผลักดันใหม่ ๆ ที่มีอิทธิพลต่อความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของโลก ทุกวันนี้ ประเทศที่เราเรียกว่า “มหาอำนาจทางเศรษฐกิจ” นั้น ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในยุโรปและอเมริกาอีกต่อไปแล้ว ตรงกันข้าม มีประเทศกำลังพัฒนามากมายที่กำลังก้าวขึ้นสู่การเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และกำลังเป็น “ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” ของความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ในโลกที่อาจส่งผลกระทบต่อประเทศของพวกเขาเอง ที่สำคัญ มหาอำนาจทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ เหล่านี้ ก็ยังต้องการที่จะให้ประเทศอื่น ๆ ในโลกหันมาฟังเสียงของพวกเขาให้มากขึ้นด้วย
ในขณะที่ตลาดเงินตลาดทุนและธุรกิจต่าง ๆ จะยังคงเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันให้โลกมีการเจริญเติบโตและมีพัฒนาการต่อไป ระบบการเงินของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ก็กลับดูเหมือนว่ากำลังอ่อนแอลงเรื่อย ๆ หลังจากที่ต้องเผชิญกับความสูญเสียอันยิ่งใหญ่มหาศาลจากวิกฤตการณ์ทางการเงินที่ได้เกิดขึ้นใน 2-3 ปีที่ผ่านมานี้
เมื่อระบบที่ได้ถูกสร้างไว้ให้เป็นกลไกในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและการเงินของโลกกำลังส่อให้เห็นว่ามีรอยร้าว เราก็จำเป็นที่จะต้องค้นหากลไกใหม่ ๆ เข้ามาช่วย ประเด็นสำคัญที่เราต้องคำนึงถึงก็คือ ระบบพหุภาคีที่จะสอดคล้องกับความเป็นไปของโลกในปัจจุบันมากที่สุดนั้น น่าจะเป็นระบบพหุภาคีที่มีความยืดหยุ่นมากกว่าในปัจจุบัน รวมทั้งเป็นระบบที่นำความแข็งแกร่งของเครือข่าย และของสถาบันทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และควรจะเป็นระบบแก้ไขปัญหาแบบยึดผลลัพธ์ในการปฏิบัติ รวมทั้งส่งเสริมวิถีทางแห่งความร่วมมือเป็นสำคัญ
ระบบพหุภาคีที่เราควรจะริเริ่มขึ้นใหม่นี้ จักต้องมีการแบ่งปันความรับผิดชอบในการดูแลความแข็งแกร่งของระบบเศรษฐกิจการเมืองโลกให้ทั่วถึงมากขึ้น และประกอบไปด้วยสมาชิกซึ่งจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสำคัญ ๆ ของภาวะเศรษฐกิจโลกมากกว่าคนอื่นด้วย เช่นนี้แล้ว เราจึงจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนคำบัญญัติความของระบบพหุภาคีทางเศรษฐกิจของโลกเสียใหม่ เพื่อให้ความสำคัญต่อปัจจัยอื่น ๆ ที่กำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงให้แก่โลก มิใช่เฉพาะการเงินและการค้าดังที่เป็นมาในอดีต ทุกวันนี้ ประเด็นที่เกี่ยวกับพลังงาน การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และการสร้างความมั่นคงให้แก่ประเ ทศที่เปราะบาง หรือประเทศที่เพิ่งผ่านภาวะสงครามมาใหม่ ๆ นั้นก็นับว่าเป็นประเด็นทางเศรษฐกิจเช่นกัน ประเด็น เหล่านี้ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาระดับโลกว่าด้วยปัญหาความมั่นคงและปัญหาสิ่งแวดล้อมแล้ว จึงนับว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องนำประเด็นเหล่านี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาระดับโลกว่าด้วยปัญหาเศรษฐกิจด้วย
ระบบพหุภาคีที่โลกต้องการนี้ จะดำเนินไปได้อย่างราบรื่นก็ต่อเมื่อมีความร่วมมือและมีแรงผลักดันจากสมาชิกแต่ละประเทศ ระบบที่มีอยู่แล้วในปัจจุบันคือระบบ G-7 นั้นยังถือว่ามีข้อบกพร่องอยู่มาก เราจำเป็นที่จะต้องสรรค์สร้างระบบใหม่ขึ้นมาเพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะของโลกในปัจจุบันมากขึ้น ระบบใหม่ที่เราจำเป็นจะต้องมีนี้ ควรอยู่ภายใต้การดูแลของ “คณะทำงานหลัก” ซึ่งจะประกอบไปด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวง การคลังของประเทศที่มีส่วนได้ส่วนเสียในระบบเศรษฐกิจโลกต่าง ๆ ที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและความรู้กันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แต่ละฝ่ายสามารถคาดคะเนเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างมีรวดเร็วขึ้น สามารถรวบรวมประเทศสมาชิกอื่น ๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที และทำหน้าที่ “บริหาร” ความแตกต่างของแต่ละประเทศไม่ให้เป็นอุปสรรคขัดขวางการประสานประโยชน์ของโลกโดยรวม
คณะทำงานหลักที่จะทำหน้าที่ดูแลระบบพหุภาคีใหม่นี้ ควรที่จะมีบราซิล จีน อินเดีย เม็กซิโก รัสเซีย ซาอุดิอาระเบีย แอฟริกาใต้ และกลุ่มประเทศ G-7 ในปัจจุบันเป็นสมาชิก คณะทำงานนี้จำเป็นที่จะต้องมีการพบปะกันอย่างสม่ำเสมอ และมีการสนทนาแลกเปลี่ยนข่าวสารซึ่งกันและกันผ่านทั้งช่องทางที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ที่สำคัญ คณะทำงานนี้จำเป็นที่จะต้องเป็นมากกว่าแค่ “กลุ่มประเทศ G-14” เพราะมันจะไม่มีประโยชน์แต่อย่างใดเลยหากเราแค่เปลี่ยนชื่อ จาก G-7 เป็น G-14 โดยที่ไม่เปลี่ยนวิถีการทำงานด้วย เราต้องการเครือข่ายใหม่ที่จะสามารถคาดคะเนล่วงหน้าได้ว่าจะมีความเสียหายเกิดขึ้น ที่จะยังประสานงานอย่างใกล้ชิดกับสถาบันการเงินระหว่างประเทศที่มีอยู่ โครงสร้างและบทบาทหน้าที่ของคณะทำงานภายใต้ระบบพหุภาคีใหม่นี้ จะช่วยให้แต่ละประเทศหันมาใช้สมาชิกอื่น ๆ ให้เป็นประโยชน์มากขึ้น ในการแก้ไขปัญหาซึ่งใหญ่หลวงเกินกว่าประเทศใดประเทศหนึ่งจะสามารถแก้ไขได้โดยลำพัง และจะช่วยผลักดันให้การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและการเงินที่ส่งผลกระทบต่อคนทั้งโลกนั้น ผ่านกระบวนการที่เป็นพหุภาคีนิยมมากขึ้น
ระบบพหุภาคีใหม่ที่ว่านี้ จำเป็นที่จะต้องนำปฏิสัมพัทธ์และความเชื่อมโยงระหว่างพลังงานกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเข้ามาประกอบการพิจารณาด้วย ตลาดพลังงานโลกในปัจจุบันนี้กำลังอยู่ในภาวะที่ยุ่งเหยิงมาก เพื่อให้การแก้ไขปํญหาด้านพลังงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เราจำเป็นที่จะต้องจัดให้มีการเจรจาระดับโลกระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภคพลังงาน โดยทั้งสองฝ่ายจำเป็นที่จะต้องนำแผนงานในการขยายอุปทาน การเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานอย่างประหยัดเพื่อลดอุปสงค์ การผลิตพลังงานเพื่อคนยากไร้ และการวางแผนพัฒนาพลังงานโดยคำนึงถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เข้ามาพิจารณาร่วมกันด้วย ผมเชื่อว่าทั้งฝ่ายผู้ผลิตและผู้บริโภคนี้น่าจะหาวิธีที่ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์มาใช้บริหารจัดการราคาของพลังงานให้อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม และผสมผสานกับการปรับปรุงเทคโนโลยีในการผลิตให้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลงได้
เพื่อให้สิ่งที่กล่าวไปแล้วข้างต้นเป็นไปอย่างราบรื่น โลกก็จำเป็นที่จะต้องมีปัจจัยใหม่ ๆ มาสนับสนุนข้อตกลงว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ มีกลไกใหม่ ๆ ที่จะส่งเสริมการอนุรักษ์ป่าและลดการตัดไม้ทำลายป่า พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ รวมทั้งหาวิธีที่จะทำให้เทคโนโลยีเหล่านี้ได้รับการใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น นอกจากนี้ เรายังจำเป็นที่ะต้องให้ความช่วยเหลือทางการเงินต่อประเทศกำลังพัฒนาให้มากขึ้นเพื่อให้ประเทศเหล่านั้นสามารถปรับตัวเข้ากับผลที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งพัฒนาตลาดการซื้อขายคาร์บอนเครดิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น คณะทำงานหลักภายใต้ระบบพหุภาคีใหม่นี้ น่าจะมีส่วนช่วยในการผลักดันให้เกิดมาตรการใหม่ ๆ อันเกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาพลังงาน ปัญหาสิ่งแวดล้อม และมาตรการทางการเงินที่จะช่วยสนับสนุนการเจรจาระดับสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งส่งเสริมข้อตกลงว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ในความเป็นจริง
และในฐานะที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังใกล้เข้ามาทุกที ผมจึงอยากจะเรียนว่า ในขณะที่หน้าที่ในการฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจโลกควรจะเป็นภารกิจเร่งด่วนภารกิจหนึ่งของประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ นั้น เราต้องยอมรับว่า การแก้ไขปัญหานี้หาใช่เป็นภาระของสหรัฐฯ แต่เพียงประเทศเดียวไม่ แต่มันควรจะเป็นภาระของสมาชิกทุกคนในระบบพหุภาคี
แม้สภาวะการณ์ในปัจจุบันจะยากลำบากสำหรับโลก แต่วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นก็ยังมาพร้อม ๆ กับโอกาสด้วย ขณะนี้ มีประเทศหลายประเทศที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบแก้ไขปัญหาแบบพหุภาคีในปัจจุบันที่มีความตั้งใจจริงในการช่วยเหลือประเทศอื่น ๆ ให้ผ่านพ้นปัญหานี้ไปได้ ดังนั้น ภาระกิจเร่งด่วนของเราจึงควรจะเป็นการปรับปรุงระบบและตลาดเงินตลาดทุนของโลกนั้นให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างทันต่อเหตุการณ์มากยิ่งขึ้น
นายโรเบิร์ต บี เซลลิค เป็นประธานกลุ่มธนาคารโลก ข้อเขียนชิ้นนี้ดัดแปลงมาจากสุนทรพจน์ของเขาเมื่อวันที่ 6 ตุลาคมที่ผ่านมา ก่อนการเปิดการประชุมประจำปีของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี
http://web.worldbank.org/WBSITE/EXTERNAL/COUNTRIES/EASTASIAPACIFICEXT/THAILANDINTHAIEXTN/0,,contentMDK:21937680~menuPK:487349~pagePK:2865066~piPK:2865079~theSitePK:486697,00.html
ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมานั้น วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งในตลาดเงิน ในระบบสินเชื่อ และในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐอเมริกาก็ได้ส่งผลให้ความกังวลที่มีอยู่เดิมต่อสภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์ด้านการลดความยากจนของโลกในปัจจุบัน อันสืบเนื่องมาจากปัญหาราคาอาหารและน้ำมันที่ถีบตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ นั้น ขยายวงกว้างขึ้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเดือนกันยายนและตุลาคมนั้น อาจผลักดันให้สถานการณ์ในประเทศกำลังพัฒนาหลายต่อหลายประเทศ ซึ่งแต่เดิมก็ค่อนข้างล่อแหลมหรือเปราะบางอยู่แล้ว ทวีความรุนแรงขึ้นจนถึงขั้นวิกฤติได้ และหากเป็นเช่นนั้น คนที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือคนยากจน ซึ่งโดยมากแล้วจะปราศจากเกราะกำบังใดใดนั่นเอง
เราได้ยินคำตำหนิติเตียนมากมายว่าต้นเหตุของปัญหานี้อยู่ที่การเปิดตลาดเสรี อยู่ที่ความล้มเหลวของสถาบันกำกับดูแลในภาครัฐ ทว่า ความจริงที่เราต้องเผชิญและยอมรับก็คือ ทุกวันนี้ โลกมาไกลเกินกว่าที่จะหันหลังให้แก่โลกาภิวัตน์ได้แล้ว สิ่งที่เราจะทำได้ก็คือการเรียนรู้จากประสบการณ์และความผิดพลาดในอดีตในขณะที่เราก้าวย่างต่อไปเพื่อวางรากฐานให้แก่อนาคต ทั้งนี้ เราจำเป็นที่จะต้องปฏิวัติโครงสร้างของตลาดเงินตลาดทุน รวมทั้งระบบพหุพาคีเพื่อแก้ไขปัญหาระดับโลกให้สอดคล้องต่อสภาวะเศรษฐกิจของโลกในปัจจุบันยิ่งขึ้น
ความเป็นไปของตลาดเงินตลาดทุนในวันนี้ รวมทั้งการที่แต่ละประเทศในโลกถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันภายใต้เครือข่ายเดียวนั้น สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของการติดต่อสื่อสาร การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร พัฒนาการของเทคโนโลยี การไหลเวียนของเงินทุนและการค้า การเคลื่อนย้ายของแรงงาน และแรงผลักดันใหม่ ๆ ที่มีอิทธิพลต่อความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของโลก ทุกวันนี้ ประเทศที่เราเรียกว่า “มหาอำนาจทางเศรษฐกิจ” นั้น ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในยุโรปและอเมริกาอีกต่อไปแล้ว ตรงกันข้าม มีประเทศกำลังพัฒนามากมายที่กำลังก้าวขึ้นสู่การเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และกำลังเป็น “ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” ของความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ในโลกที่อาจส่งผลกระทบต่อประเทศของพวกเขาเอง ที่สำคัญ มหาอำนาจทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ เหล่านี้ ก็ยังต้องการที่จะให้ประเทศอื่น ๆ ในโลกหันมาฟังเสียงของพวกเขาให้มากขึ้นด้วย
ในขณะที่ตลาดเงินตลาดทุนและธุรกิจต่าง ๆ จะยังคงเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันให้โลกมีการเจริญเติบโตและมีพัฒนาการต่อไป ระบบการเงินของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ก็กลับดูเหมือนว่ากำลังอ่อนแอลงเรื่อย ๆ หลังจากที่ต้องเผชิญกับความสูญเสียอันยิ่งใหญ่มหาศาลจากวิกฤตการณ์ทางการเงินที่ได้เกิดขึ้นใน 2-3 ปีที่ผ่านมานี้
เมื่อระบบที่ได้ถูกสร้างไว้ให้เป็นกลไกในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและการเงินของโลกกำลังส่อให้เห็นว่ามีรอยร้าว เราก็จำเป็นที่จะต้องค้นหากลไกใหม่ ๆ เข้ามาช่วย ประเด็นสำคัญที่เราต้องคำนึงถึงก็คือ ระบบพหุภาคีที่จะสอดคล้องกับความเป็นไปของโลกในปัจจุบันมากที่สุดนั้น น่าจะเป็นระบบพหุภาคีที่มีความยืดหยุ่นมากกว่าในปัจจุบัน รวมทั้งเป็นระบบที่นำความแข็งแกร่งของเครือข่าย และของสถาบันทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และควรจะเป็นระบบแก้ไขปัญหาแบบยึดผลลัพธ์ในการปฏิบัติ รวมทั้งส่งเสริมวิถีทางแห่งความร่วมมือเป็นสำคัญ
ระบบพหุภาคีที่เราควรจะริเริ่มขึ้นใหม่นี้ จักต้องมีการแบ่งปันความรับผิดชอบในการดูแลความแข็งแกร่งของระบบเศรษฐกิจการเมืองโลกให้ทั่วถึงมากขึ้น และประกอบไปด้วยสมาชิกซึ่งจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสำคัญ ๆ ของภาวะเศรษฐกิจโลกมากกว่าคนอื่นด้วย เช่นนี้แล้ว เราจึงจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนคำบัญญัติความของระบบพหุภาคีทางเศรษฐกิจของโลกเสียใหม่ เพื่อให้ความสำคัญต่อปัจจัยอื่น ๆ ที่กำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงให้แก่โลก มิใช่เฉพาะการเงินและการค้าดังที่เป็นมาในอดีต ทุกวันนี้ ประเด็นที่เกี่ยวกับพลังงาน การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และการสร้างความมั่นคงให้แก่ประเ ทศที่เปราะบาง หรือประเทศที่เพิ่งผ่านภาวะสงครามมาใหม่ ๆ นั้นก็นับว่าเป็นประเด็นทางเศรษฐกิจเช่นกัน ประเด็น เหล่านี้ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาระดับโลกว่าด้วยปัญหาความมั่นคงและปัญหาสิ่งแวดล้อมแล้ว จึงนับว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องนำประเด็นเหล่านี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาระดับโลกว่าด้วยปัญหาเศรษฐกิจด้วย
ระบบพหุภาคีที่โลกต้องการนี้ จะดำเนินไปได้อย่างราบรื่นก็ต่อเมื่อมีความร่วมมือและมีแรงผลักดันจากสมาชิกแต่ละประเทศ ระบบที่มีอยู่แล้วในปัจจุบันคือระบบ G-7 นั้นยังถือว่ามีข้อบกพร่องอยู่มาก เราจำเป็นที่จะต้องสรรค์สร้างระบบใหม่ขึ้นมาเพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะของโลกในปัจจุบันมากขึ้น ระบบใหม่ที่เราจำเป็นจะต้องมีนี้ ควรอยู่ภายใต้การดูแลของ “คณะทำงานหลัก” ซึ่งจะประกอบไปด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวง การคลังของประเทศที่มีส่วนได้ส่วนเสียในระบบเศรษฐกิจโลกต่าง ๆ ที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและความรู้กันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แต่ละฝ่ายสามารถคาดคะเนเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างมีรวดเร็วขึ้น สามารถรวบรวมประเทศสมาชิกอื่น ๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที และทำหน้าที่ “บริหาร” ความแตกต่างของแต่ละประเทศไม่ให้เป็นอุปสรรคขัดขวางการประสานประโยชน์ของโลกโดยรวม
คณะทำงานหลักที่จะทำหน้าที่ดูแลระบบพหุภาคีใหม่นี้ ควรที่จะมีบราซิล จีน อินเดีย เม็กซิโก รัสเซีย ซาอุดิอาระเบีย แอฟริกาใต้ และกลุ่มประเทศ G-7 ในปัจจุบันเป็นสมาชิก คณะทำงานนี้จำเป็นที่จะต้องมีการพบปะกันอย่างสม่ำเสมอ และมีการสนทนาแลกเปลี่ยนข่าวสารซึ่งกันและกันผ่านทั้งช่องทางที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ที่สำคัญ คณะทำงานนี้จำเป็นที่จะต้องเป็นมากกว่าแค่ “กลุ่มประเทศ G-14” เพราะมันจะไม่มีประโยชน์แต่อย่างใดเลยหากเราแค่เปลี่ยนชื่อ จาก G-7 เป็น G-14 โดยที่ไม่เปลี่ยนวิถีการทำงานด้วย เราต้องการเครือข่ายใหม่ที่จะสามารถคาดคะเนล่วงหน้าได้ว่าจะมีความเสียหายเกิดขึ้น ที่จะยังประสานงานอย่างใกล้ชิดกับสถาบันการเงินระหว่างประเทศที่มีอยู่ โครงสร้างและบทบาทหน้าที่ของคณะทำงานภายใต้ระบบพหุภาคีใหม่นี้ จะช่วยให้แต่ละประเทศหันมาใช้สมาชิกอื่น ๆ ให้เป็นประโยชน์มากขึ้น ในการแก้ไขปัญหาซึ่งใหญ่หลวงเกินกว่าประเทศใดประเทศหนึ่งจะสามารถแก้ไขได้โดยลำพัง และจะช่วยผลักดันให้การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและการเงินที่ส่งผลกระทบต่อคนทั้งโลกนั้น ผ่านกระบวนการที่เป็นพหุภาคีนิยมมากขึ้น
ระบบพหุภาคีใหม่ที่ว่านี้ จำเป็นที่จะต้องนำปฏิสัมพัทธ์และความเชื่อมโยงระหว่างพลังงานกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเข้ามาประกอบการพิจารณาด้วย ตลาดพลังงานโลกในปัจจุบันนี้กำลังอยู่ในภาวะที่ยุ่งเหยิงมาก เพื่อให้การแก้ไขปํญหาด้านพลังงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เราจำเป็นที่จะต้องจัดให้มีการเจรจาระดับโลกระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภคพลังงาน โดยทั้งสองฝ่ายจำเป็นที่จะต้องนำแผนงานในการขยายอุปทาน การเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานอย่างประหยัดเพื่อลดอุปสงค์ การผลิตพลังงานเพื่อคนยากไร้ และการวางแผนพัฒนาพลังงานโดยคำนึงถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เข้ามาพิจารณาร่วมกันด้วย ผมเชื่อว่าทั้งฝ่ายผู้ผลิตและผู้บริโภคนี้น่าจะหาวิธีที่ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์มาใช้บริหารจัดการราคาของพลังงานให้อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม และผสมผสานกับการปรับปรุงเทคโนโลยีในการผลิตให้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลงได้
เพื่อให้สิ่งที่กล่าวไปแล้วข้างต้นเป็นไปอย่างราบรื่น โลกก็จำเป็นที่จะต้องมีปัจจัยใหม่ ๆ มาสนับสนุนข้อตกลงว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ มีกลไกใหม่ ๆ ที่จะส่งเสริมการอนุรักษ์ป่าและลดการตัดไม้ทำลายป่า พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ รวมทั้งหาวิธีที่จะทำให้เทคโนโลยีเหล่านี้ได้รับการใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น นอกจากนี้ เรายังจำเป็นที่ะต้องให้ความช่วยเหลือทางการเงินต่อประเทศกำลังพัฒนาให้มากขึ้นเพื่อให้ประเทศเหล่านั้นสามารถปรับตัวเข้ากับผลที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งพัฒนาตลาดการซื้อขายคาร์บอนเครดิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น คณะทำงานหลักภายใต้ระบบพหุภาคีใหม่นี้ น่าจะมีส่วนช่วยในการผลักดันให้เกิดมาตรการใหม่ ๆ อันเกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาพลังงาน ปัญหาสิ่งแวดล้อม และมาตรการทางการเงินที่จะช่วยสนับสนุนการเจรจาระดับสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งส่งเสริมข้อตกลงว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ในความเป็นจริง
และในฐานะที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังใกล้เข้ามาทุกที ผมจึงอยากจะเรียนว่า ในขณะที่หน้าที่ในการฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจโลกควรจะเป็นภารกิจเร่งด่วนภารกิจหนึ่งของประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ นั้น เราต้องยอมรับว่า การแก้ไขปัญหานี้หาใช่เป็นภาระของสหรัฐฯ แต่เพียงประเทศเดียวไม่ แต่มันควรจะเป็นภาระของสมาชิกทุกคนในระบบพหุภาคี
แม้สภาวะการณ์ในปัจจุบันจะยากลำบากสำหรับโลก แต่วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นก็ยังมาพร้อม ๆ กับโอกาสด้วย ขณะนี้ มีประเทศหลายประเทศที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบแก้ไขปัญหาแบบพหุภาคีในปัจจุบันที่มีความตั้งใจจริงในการช่วยเหลือประเทศอื่น ๆ ให้ผ่านพ้นปัญหานี้ไปได้ ดังนั้น ภาระกิจเร่งด่วนของเราจึงควรจะเป็นการปรับปรุงระบบและตลาดเงินตลาดทุนของโลกนั้นให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างทันต่อเหตุการณ์มากยิ่งขึ้น
นายโรเบิร์ต บี เซลลิค เป็นประธานกลุ่มธนาคารโลก ข้อเขียนชิ้นนี้ดัดแปลงมาจากสุนทรพจน์ของเขาเมื่อวันที่ 6 ตุลาคมที่ผ่านมา ก่อนการเปิดการประชุมประจำปีของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี
http://web.worldbank.org/WBSITE/EXTERNAL/COUNTRIES/EASTASIAPACIFICEXT/THAILANDINTHAIEXTN/0,,contentMDK:21937680~menuPK:487349~pagePK:2865066~piPK:2865079~theSitePK:486697,00.html
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)


